นักดาราศาสตร์ วางแผนจะส่งข้อความเพื่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว ภายในปี 2023

มีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์สงสัยและตั้งคำถามว่า มนุษย์ต่างดาวที่ฉลาดและมีสติปัญญานั้นมีจริงหรือไม่? ถ้ามี เราจะสื่อสารกับพวกเขาอย่างไร?

เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้วที่นักดาราศาสตร์ได้สแกนเพื่อค้นหาสัญญาณวิทยุหรือสัญญาณออปติคัลจากอารยธรรมอื่นๆ เพื่อค้นหาข่าวกรองนอกโลกที่เรียกว่า SETI (Search for Extraterrestrial Intelligence) โดยนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่นั้นมั่นใจว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่นๆ กว่า 300 ล้านดวงที่อยู่ในกาแล็กซีทางช้างเผือก อีกทั้งนักดาราศาสตร์คิดว่ามีโอกาสที่สิ่งมีชีวิตบางรูปแบบจะสามารถพัฒนาสติปัญญาและเทคโนโลยีได้

อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีการพบสัญญาณจากอารยธรรมอื่นใดเลย มันลึกลับจนมีการเรียกความมันว่า The Great Silence

SETI เป็นส่วนหนึ่งของวิทยาศาสตร์กระแสหลักมาเป็นเวลานาน มันคือโครงการที่ใช้ค้นหาสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา/ความฉลาดจากต่างดาว โดยการตรวจหาสัญญาณวิทยุที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นๆ นอกเหนือจาก SETI แล้วยังมีโครงการ METI หรือ Messaging Extraterrestrial Intelligence ที่มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์ให้ได้ถึงการมีชีวิตอยู่ของสิ่งมีชีวิตต่างดาว แต่จะใช้วิธีที่แตกต่างกับ SETI โดย METI จะเน้นไปที่การใช้วิธีการระบุตำแหน่งและการเรียกหา เพื่อให้สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาที่อาศัยอยู่ในดาวดวงอื่น ทราบถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์บนดาวโลกเช่นกัน

Galaxy Nebula

ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า จะมีนักดาราศาสตร์ 2 ทีมที่จะทำการส่งข้อความไปยังอวกาศเพื่อพยายามสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวที่อยู่นอกโลก ความพยายามดังกล่าวนั้นเปรียบเหมือนกับการจุดไฟกองใหญ่เมื่อคุณหลงเข้าไปในป่าลึก และคาดหวังให้ใครสักคนนั้นเห็นควันไฟนั้นแล้วจะให้ความสนใจมาดูต้นต่อของมัน

แต่ทว่าด้วยวิธีการนี้ก็มีคนบางกลุ่มรู้สึกกังวลว่า มันคือสิ่งที่สมควรทำหรือไม่?

ทีมนักดาราศาสตร์นานาชาติ 2 ทีมกำลังวางแผนเกี่ยวกับความพยายามครั้งใหม่ที่จะสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว โดยทีมแรกจะใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุใหม่ขนาดยักษ์ ส่วนอีกทีมกำลังมองหาเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจ

หนึ่งในข้อความใหม่จะถูกส่งจากกล้องโทรทรรศน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1,640 ฟุตในจีนในช่วงปี 2023 โดยข้อความดังกล่าวเรียกว่า “The Beacon in the Galaxy” ที่เป็นการรวมของจำนวนเฉพาะ , ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ , ชีวเคมีของสิ่งมีชีวิต , รูปทรงของมนุษย์ , ที่ตั้งของโลก และการประทับเวลา โดยทีมงานจะส่งข้อความไปยังกลุ่มดวงดาวหลายล้านดวงที่อยู่ใกล้กับใจกลางกาแล็กซีทางช้างเผือก ที่ห่างจากโลกประมาณ 10,000 – 20,000 ปีแสง

ถึงแม้ว่าวิธีนี้อาจจะช่วยเพิ่มจำนวนมนุษย์ต่างดาวที่สามารถติดต่อด้วยได้ให้มากที่สุด แต่ก็หมายความว่ามันต้องใช้เวลาอีกหลายหมื่นปีเช่นกันกว่าโลกจะได้รับการตอบกลับจากสิ่งมีชีวิตบนดาวต่างๆ

อีกหนึ่งความพยายามของนักดาราศาสตร์อีกทีมคือ การกำหนดเป้าหมายไปยังดาวดวงใดดวงหนึ่งที่มีโอกาสในการตอบกลับที่เร็วที่สุด ในวันที่ 4 ตุลาคม 2022 ทีมงานจากสถานี Goonhilly Satellite Earth Station บนโลกในอังกฤษจะส่งข้อความยังดาว TRAPPIST-1 ซึ่งดาวดวงนี้มีดาวเคราะห์ทั้งหมด 7 ดวง โดยที่มีดาว 3 ดวงในนั้นมีความคล้ายโลกที่อยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่า Goldilocks zone (โซนโกลดีล็อกส์ หรือโซนที่เอื้อต่อการอยู่อาศัย) เป็นไปได้ที่มันอาจเป็นที่อยู่อาศัยของของเหลวและสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน

ดาว TRAPPIST-1 อยู่ห่างออกไป 39 ปีแสง ดังนั้น อาจต้องใช้เวลาประมาณ 78 ปี กว่าสิ่งที่ชีวิตที่อยู่บนดาวดวงนั้นๆ จะได้รับข้อความและตอบกลับมายังโลก

นอกจากคำถามเรื่องความเหมาะสมว่า การส่งข้อความติดต่อไปยังมนุษย์ต่างดาวนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่? มันยังตามมาด้วยคำถามที่เกี่ยวกับด้านจริยธรรม (Ethics) ด้วยเช่นกัน

คำถามแรก ใครเป็นตัวแทนของมนุษย์โลกในการติดต่อสื่อสารกับต่างดาว? เนื่องจากการส่งข้อความออกไปนั้นไม่ได้ผ่านการปรึกษาหารือระหว่างประเทศหรือแม้แต่กับสาธารณชน ดังนั้นการตัดสินใจเรื่องการส่งความใดออกไป ส่งไปที่ใดนั้นเป็นอำนาจในการตัดสินใจของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่สนใจในเรื่องนี้ โดยที่มนุษย์โลกคนอื่นๆ ไม่มีส่วนร่วมในการออกความคิดเห็นใดๆ เลย

เมื่อคุณหลงป่า หรือ ติดเกาะ แล้วต้องการส่งสัญญาณด้วยการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้คนพบเห็นและมาช่วยคุณ อันนี้พอจะเข้าใจได้ แต่คำถามที่เกิดขึ้นกับเรื่องการสื่อสารไปยังต่างดาว คือ มนุษยชาติควรทำการส่งข้อความไปถึงมนุษย์ต่างดาวที่อยู่ในดาวดวงอื่นๆ หรือไม่ แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ก็จะมีหลากหลาย ทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

ก่อนที่ Stephen Hawking นักฟิสิกส์ชื่อดังจะเสียชีวิต เขาเคยพูดเกี่ยวกับอันตรายของการพยายามติดต่อกับมนุษย์ต่าวดาวโดยเขามีข้อโต้แย้งว่า มนุษย์ต่างดาวอาจเป็นสิ่งชั่วร้าย หากพวกมันทราบตำแหน่งที่ตั้งของโลก มันอาจทำลายมนุษยชาติก็ได้ และก็มีความเป็นได้อีกเช่นกันว่า อารยธรรมที่ก้าวหน้าในดาวดวงอื่นๆ อาจรับรู้ถึงการมีอยู่ของโลกและมนุษย์บนโลกมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีการกระทำใดๆ เกิดขึ้น จึงมองไม่เห็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

อีกอย่างที่ทุกคนควรรู้ คือ จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีกฏระเบียบระหว่างประเทศที่เข้ามาควบคุม METI ดังนั้น การทดลองดังกล่าวจะยังคงดำเนินต่อไป แม้จะมีข้อกังวลจากหลายฝ่ายก็ตาม

ที่มา : THE CONVERSATION
รูปภาพจาก freepik

นักเขียนหน้าใหม่ ผู้หลงไหลในเรื่อง แมว หมี เทคโนโลยี และ โลกของไอที :)