Samsung Solve for Tomorrow โครงการ ปั้นนวัตกรรุ่นใหม่ ประชันไอเดียสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน มีเยาวชนกว่าสองล้านคนจาก 35 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม
ซัมซุง จัดโครงการ Samsung Solve for Tomorrow เพื่อ ปั้นนวัตกรรุ่นใหม่ ประกวดออกแบบนวัตกรรมระดับสากลที่มีเยาวชนกว่าสองล้านคนจาก 35 ประเทศทั่วโลกเข้าร่วม สำหรับประเทศไทย บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ได้จัดขึ้นในปีนี้เป็นปีแรก โดยมีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นภาคีพันธมิตรหลัก ได้นำพาเยาวชนไทยกว่า 1,000 คน จาก 308 ทีมทั่วประเทศไทย เข้าร่วมประชันไอเดียสร้างสรรค์ ใช้ทักษะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และคณิตศาสตร์ (STEM) ในการพัฒนานวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้หัวข้อ Innovation for Sustainable Communities, Good Health & Wellbeing โดยทีมที่คว้ารางวัลชนะเลิศในปีนี้ ได้แก่ทีม BCC Robot จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โชว์ไอเดียสุดล้ำด้วยนวัตกรรม Fitness Force ได้รับทุนการศึกษา มูลค่า 200,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ ทีม ฝัน จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์ ด้วยนวัตกรรม DremIN ได้รับทุนการศึกษา มูลค่า 100,000 บาท และรางวัลรองชนะเลิศ อันดับสอง ได้แก่ ทีม Lunares จากโรงเรียนสาธิตการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ด้วยนวัตกรรม Cloud based TDS meter and TDS limiting system ได้รับทุนการศึกษา มูลค่า 50,000 บาท รวมถึงสมาชิกทุกคนจะได้รับ ซัมซุง แท็บเล็ต มูลค่าเครื่องละ 23,900 บาท โดยมี ศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานในพิธี, นางสาวปารมี ทองเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด และนายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมมอบรางวัล รวมถึงคณะกรรมการ คณาจารย์ และแขกผู้มีเกียรติ เข้าร่วมงานมากมาย
สำหรับในประเทศไทย Samsung Solve for Tomorrow เป็นโครงการที่ได้เชิญชวนเยาวชนที่กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมปีที่ 4 – 5 และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 1 – 2 ร่วมประกวดออกแบบนวัตกรรม ภายใต้หัวข้อ “Innovation for Sustainable Communities, Good Health and Well-being” ในการนำเสนอโซลูชันเพื่อพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งในรอบแรกจะคัดเลือก 20 ทีม จาก 308 ทีม เพื่อเข้าร่วมเวิร์คชอปกับผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับเงินทุนสนับสนุน 5,000 บาท เพื่อเป็นทุนในการพัฒนาโครงการ หลังจากนั้นได้ประกาศผลให้เหลือเพียง 10 ทีม ซึ่งจะต้องโชว์ไอเดียที่ตอบโจทย์ Pain Point ของสังคมในแง่มุมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัย เพื่อป้องกันและดูแลสุขภาพ เพื่อลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต หรือแม้กระทั่งเพื่อช่วยยกระดับการใช้ชีวิตวิถีใหม่จาก Work From Home เป็นต้น โดยมีคณะกรรมการ เป็นผู้คัดเลือกเพื่อผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ สำหรับ 3 ทีมที่ชนะ จะได้รับเงินสนับสนุนในการพัฒนาโซลูชันต้นแบบ (Prototype) รวมถึงเงินรางวัลและแท็บเล็ตซัมซุง มูลค่ารวมกว่า 900,000 บาท
คณบดี ศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “จุดประสงค์หลักของเราคือการส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ เยาวชนที่ร่วมโครงการจะได้เอาความรู้ในเชิงทฤษฎีในห้องเรียนมาผสมผสาน จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อทำเป็นโครงการที่สร้างสรรค์ เราได้เปิดช่องทางเรื่องการรับเข้าเรียนแบบพอร์ตโฟลิโอสำหรับน้อง ๆ เหล่านี้ที่สามารถทุ่มเท หาตัวตน หาแรงบันดาลใจของตัวเองให้เจอ เพื่อต่อยอดเส้นทางในการศึกษาต่อมหาวิทยาลัยได้ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่ทุกคนต้องผ่านกระบวนการสอบอย่างเดียว โลกเปลี่ยนไป มหาวิทยาลัยก็เปลี่ยนไป ผมคิดว่าโอกาสสำหรับเด็กและเยาวชนที่ใส่ใจในการเรียนรู้ด้วยตัวเองนั้นมีมากขึ้น”
นางสาวปารมี ทองเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “ซัมซุง รู้สึกยินดีมากที่ได้จัดโครงการนี้ขึ้นที่ประเทศไทยเป็นปีแรก หลังจากที่ประสบความสำเร็จในระดับสากลมาแล้วถึง 35 ประเทศ ในปีนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม มีเยาวชนมาร่วมประกวดออกแบบนวัตกรรมกว่า 308 ทีม ถือว่าซัมซุง ได้ตอบโจทย์ความมุ่งมั่นที่จะสร้างให้เยาวชนได้มีบทบาทในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้านเทคโนโลยี, IOT, Design Thinking และ Innovation เพื่อต่อยอดพัฒนาการดำรงชีวิตโลกยุคใหม่ให้ยั่งยืนและดียิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งซัมซุงขอแสดงความยินดีกับทีมที่ได้รับรางวัล และฝากให้ทีมที่ไม่ได้รับรางวัลในปีนี้ ให้สู้ต่อไป และต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุน อาทิ จากภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บริษัท ทีอีเอสอาร์ จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม และบริษัท บางกอก อินโนเวชั่น เฮ้าส์ จำกัด ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มด้านการพัฒนาทักษะดิจิทัล ในการร่วมพัฒนาโครงการตลอดจนจัดการอบรมเชิงปฏิบัติการ และให้คำปรึกษาด้านเทคนิคกับผู้เข้าร่วมโครงการ ซัมซุงในฐานะหน่วยงานภาคเอกชนและเป็น Technology Company ยังคงที่จะดำเนินการร่วมกับพันธมิตรจัดโครงการนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป นอกจากจะสร้างนวัตกรรุ่นใหม่แล้ว ก็ยังมุ่งมั่นที่จะต่อยอดแนวคิด ผลักดันผลงานให้เป็นรูปธรรมเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป”
นายภิมุข สิมะโรจน์ เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ขอขอบคุณซัมซุงที่จัดโครงการดี ๆ ขึ้น ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้นในเมืองไทยเป็นครั้งแรกจากที่เคยจัดมาแล้วหลายประเทศทั่วโลก เราได้ทีมทั้งหมด 308 ทีม จากเยาวชนกว่าพันคนมาแข่งขันกัน จนเหลือ 10 ทีมที่ผ่านสู่รอบชิงชนะเลิศในวันนี้ ซึ่งทุกคนมีความตั้งใจ และสามารถนำแนวคิดในวันนี้ไปต่อยอดได้มากมายในอนาคต ประกาศนียบัตรหรือเงินรางวัลที่ได้ในวันนี้ถือเป็นแค่จุดเริ่มต้น อยากฝากถึงเยาวชนที่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการนี้ว่าถ้าหากว่ามีโอกาสปีต่อไป อยากให้ลองเข้ามาสมัครร่วมแสดงผลงานกันเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับตัวเอง”
ทีมชนะเลิศ คือทีม BCC Robot จากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย – ประกอบด้วย นายณัทสกรรจ์ อัศวโรจน์พาณิช ทำหน้าที่ด้าน กราฟฟิก, AI,ข้อมูลด้านร้านค้า, นายกิตติธัช มานะจิตประเสริฐ ดูแลด้านซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชั่น, นายนิธิโชติ เสนอคำ และ นายชวิศ อรรถสุขวัฒนา รับผิดชอบด้านฮาร์ดแวร์ ซึ่งทั้งสี่คนได้ร่วมกัน นำเสนอนวัตกรรม Fitness Force ที่เกี่ยวกับเครื่องออกกำลังพร้อมฟังก์ชันตรวจจับความเคลื่อนไหว โดยจะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการออกกำลังกาย การคำนวณและให้ข้อมูลในด้านอาหารและการเผาผลาญพลังงานผ่านทางแอปพลิเคชัน โดยมีการเชื่อมรูปแบบการออกกำลังกายเข้ากับเกมเพื่อเป็นเป้าหมายในการออกกำลังกายที่สนุกยิ่งขึ้น โดยทั้งสี่คนได้เปิดเผยร่วมกันว่า “เนื่องจากมีผู้คนที่เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมเพิ่มมากขึ้น จึงคิดค้นนวัตกรรมนี้เพื่อต้องการช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว Fitness Force เป็นเครื่องยืดเพื่อแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยในแอปพลิเคชันจะมีเกมและเหรียญให้สะสมเพื่อจูงใจผู้ใช้ ทั้งยังสามารถใช้แอปพลิเคชันได้พร้อมกันหลายเครื่องสมาร์ทโฟน เป็นโครงการที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่อง wellbeing และ sustainable ในส่วนของฮาร์ดแวร์ได้มีการพัฒนาจาก เวอร์ชันที่ 1 ตั้งแต่เริ่มเก็บข้อมูล ดูข้อผิดพลาดต่าง ๆ และนำไปพัฒนาเรื่อย ๆ จนถึงเวอร์ชันที่ 5 เพื่อนำมาพรีเซนต์ในวันชิงชนะเลิศ ในส่วนของแอปพลิเคชัน ได้ทำการพัฒนา UI User Interface และทำการพัฒนาส่วนอื่น ๆ ของแอปพลิเคชันไปด้วย รู้สึกดีใจมากที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ และต้องขอขอบคุณซัมซุงที่ผลักดันได้ใช้ความคิดทั้งในเรื่อง Design thinking, AI, Automation และ IoT ทีมเราชอบด้าน Automation เป็นพิเศษ เพราะคิดว่าใกล้เคียงกับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยที่กำลังอยากจะไปศึกษาต่อ”
ทีมรองชนะเลิศ อันดับที่ 1 ชื่อทีม ฝัน จากโรงเรียนกำเนิดวิทย์ นำเสนอนวัตกรรม DremIN ประกอบด้วย นายเทพรักษ์วี ปาลมา ทำหน้าที่ออกแบบ UI และทดสอบ นายปัณณวิชญ์ ตัณฑวิเชียร ทำหน้าที่เขียนโค้ดด้าน AI นายธรรม์ รัตนกิจ ช่วยเขียนโค้ดเสริม นายธิติ ไกรเพชร และนางสาวณิชาวีณ์ ภิรมย์โชติศิริ ดูแลแอปพลิเคชันและ Facebook ซึ่งทีมนี้ได้เสนอแนวคิดโปรแกรมเมาส์และคีย์บอร์ดสำหรับผู้พิการที่ไม่สามารถใช้คีย์บอร์ดได้โดยการใช้ระบบการตรวจจับใบหน้าและการขยับหัวเข้ามาช่วยในการขยับเมาส์และคีย์บอร์ด โดยทีมฝันกล่าวว่า “เริ่มต้นจากแนวคิดที่อยากจะช่วยผู้พิการทางแขนที่ยังไม่ค่อยมีใครที่จะหาวิธีที่จะสามารถทำให้ผู้พิการเหล่านั้นสามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ด้วยตัวเองในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้แอปพลิเคชันนี้จึงเกิดขึ้น โดยได้คิดการควบคุมคอมพิวเตอร์สำหรับผู้พิการทางแขน เป็นการใช้ใบหน้า Facial Landmark ที่ตรวจสอบใบหน้าและใช้ตาเป็นหลักในการควบคุมเม้าส์แทน โดยสามารถใช้ได้ทั้งแบบใส่และก็ไม่ใส่หน้ากากอนามัย ต้องขอขอบคุณซัมซุงที่ให้โอกาสได้สร้างนวัตกรรมจริง ๆ ขึ้นมา และได้ความรู้มากมายจากการเข้าเวิร์คช็อปทั้งในเรื่อง Design thinking, IOT แล้วก็ได้ทำประโยชน์เพื่อสังคมด้วย เหมือนชื่อทีมฝันของเรา ที่อยากให้ความฝันไปได้ไกลขึ้นเพื่อช่วยพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น”
ทีมรองชนะเลิศ อันดับ 2 Lunares โรงเรียนสาธิตการจัดการปัญญาภิวัฒน์ นำเสนอนวัตกรรม Cloud based TDS meter and TDS limiting system – ประกอบด้วย นายนนทพัทธ์ ชะนะมา ทำหน้าที่ Developer นางสาวณภัทร สีตสุวรรณ ทำหน้าที่ Project Manager นางสาว ธนพร ศรีสิงห์ ทำหน้าที่ Researcher, นางสาว มลนิชา แป้งใส ทำหน้าที่ Graphic Designer นำเสนอแนวคิดเครื่องกรองน้ำที่ช่วยปรับสมดุลของน้ำประปาให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยวัดค่าคุณภาพน้ำผ่านระบบเซนเซอร์ ประเมินและแสดงผลไปยังแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน โดยทั้งสี่คนเผยว่า “โครงงานนี้น่าสนใจมาก เลยตัดสินใจเข้าร่วม โดยนวัตกรรมที่คิดค้นมามีอยู่ 3 ส่วนหลัก ส่วนที่ 1 คือ คาบีส คิเดกส์มิเตอร์ ช่วยแก้เรื่องการตรวจสอบคุณภาพของน้ำ ทำให้ผู้คนสามารถรู้ว่าคุณภาพน้ำในบ้านเป็นอย่างไร, ส่วนที่ 2 คือ วอเตอร์คอลิควิไซเซอร์ แอปพลิเคชันที่ทำให้ผู้คนสามารถเข้าชมค่า TDS ได้ ถูกส่งมาจาก คาบีส คิเดกส์มิเตอร์ และส่วนที่ 3 คือ คิเอสเมดิซิสเท็ม ส่วนต่อขยายของคาบีส คิเดสมิเตอร์ ทำหน้าที่ตัดระบบแยกระบบน้ำประปา เพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนในแท็งค์น้ำของบ้าน ซึ่งใน Part Solution ชื่อ คิเดส ลิมิติ้ง ซิสเท็ม ช่วยให้ลดค่า คิดิเอสในน้ำประปา ช่วยให้คนมีสุขภาพที่ดีในระยะยาวได้ ปัญหาเรื่องน้ำ ยังเป็นปัญหาที่ทุกคนยังไม่ค่อยรับรู้ จึงสร้างสรรค์นวัตกรรมออกมาช่วยลดปัญหาตรงนี้ได้ ปัญหาหรืออุปสรรคจะเป็นในเรื่องการ Research ข้อมูลต่าง ๆ ที่หายากหรือหาไม่ได้หาจากเว็บปกติทั่วไป แก้ไขปัญหาด้วยการใช้ Google Schola ช่วย ขอขอบคุณซัมซุงที่ได้มอบประสบการณ์และความรู้ จากโครงการดี ๆ แบบนี้ อยากเชิญชวนให้มาสมัครกันเยอะ ๆ จะได้ประสบการณ์ที่ไม่สามารถหาได้จากในห้องเรียน”