HP เผยเทรนด์การใช้ เทคโนโลยี ปี 2023 – เพื่อการทำงานและความบันเทิง เทคโนโลยีจะกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน เมื่อโลกออนไลน์และออฟไลน์ผสานเข้าด้วยกัน เทคโนโลยีก็ต้องก้าวล้ำไปอีกขั้น
วรานิษฐ์ อธิจจรัสโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอชพี อิงค์ ประเทศไทย จำกัด (HP) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเทรนด์การใช้ เทคโนโลยี ในปัจจุบันนี้อย่างน่าสนใจว่า “หากมองย้อนกลับไปเมื่อห้าปีก่อน เราจะเห็นว่าในตอนนั้นมีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างการทำงานแบบออฟไลน์และแบบออนไลน์ รวมถึงระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตที่บ้าน แต่ในทุกวันนี้ การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีควบคู่ไปกับรูปแบบสไตล์การทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และยังมีการทำงานในรูปแบบที่ ยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น เส้นแบ่งเหล่านี้กำลังถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันแบบเหนือการคาดเดา เส้นแบ่งเหล่านี้กำลังหายไป ผสานเข้าด้วยกัน และกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราทุกคน”
จากข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าทัศนคติของผู้คนที่มีต่องานนั้นกำลังเปลี่ยนไป โดยจากผลการสำรวจ Trust Barometer จากทาง เอเดลแมน (Edelman) พบว่า 63% ของผู้ตอบแบบสำรวจทั่วโลกเชื่อว่าเทคโนโลยีในที่ทำงานช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น[1] ในขณะเดียวกัน จากข้อมูลของ Cisco Global Hybrid Work Study 2022 แสดงให้เห็นว่า 77% ของคนไทยเชื่อว่าการทำงานแบบไฮบริดส่งผลในแง่บวกต่อสุขภาพ และ 63% เชื่อว่าช่วยลดความเครียดในการทำงาน[2] ได้อีกด้วย
นอกจากการทำงานแล้ว ยังเห็นได้ชัดเจนว่าเทคโนโลยีช่วยปลดล็อคข้อจำกัดต่าง ๆ ในการพักผ่อนและความสนุกอีกด้วย โดยพีซี (Personal Computer) ในปัจจุบันได้รับการออกแบบมาเพื่อผสมผสานโซลูชันของคลาวด์เกมมิ่ง เข้าถึงเกมในประเทศได้ และยังช่วยให้เหล่าเกมเมอร์มีตัวเลือกที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น การสร้างงานพิมพ์แบบ Avatar แบบสามมิติ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถเชื่อมระหว่างโลกชีวิตจริงและโลกดิจิทัลได้อย่างสนุกสนาน อีกทั้งเราอาจเห็นอุปกรณ์เสริมสำหรับเล่นเกมในแอปพลิเคชันซูม ที่ใช้ได้ทั้งเพื่อการทำงานและการเล่นเกม
ในขณะที่การผสมผสานด้านการใช้ชีวิตเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในปี 2566 นี้ เราจะเห็นการสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น การสร้างนวัตกรรมที่เข้าใจการใช้ชีวิตแบบไฮบริดอย่างแท้จริง รวมถึงการพัฒนาโซลูชันใหม่ที่มุ่งเน้นเพื่อตอบโจทย์คนทำงาน ซึ่งทุกอย่างจะต้องตอบโจทย์ความยั่งยืนไปด้วยพร้อม ๆ กัน โดยที่เอชพี เราได้ติดตามเทรนด์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว โดยเทรนด์ที่สำคัญและล้ำหน้าที่ควรจับตามองได้แก่
ตัวเลือกที่ออกแบบมาแบบ ให้ปรับเปลี่ยน ได้ตรงใจเกมเมอร์ และประสบการณ์แบบ ‘Phygital’ แบบเต็มรูป
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเกมเป็นตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมูลค่าของตลาดเกมโลกนั้นสูงถึง 184.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือราวหกพันสองร้อยล้านบาท) ในปีพ.ศ. 2565[3] ซึ่งสูงกว่ามูลค่าของหลายอุตสาหกรรมเพื่อความบันเทิงแบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือเพลง ด้วยเกมเมอร์ต่างใช้เวลามากขึ้นโนโลกออนไลน์ ทำให้ตลาดเกมในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโต 7.10% ในช่วงปี 2566 – 2570 ส่งผลให้มูลค่าตลาดสูงมากกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือมากกว่าแสนล้านบาท) ในปี 2570[4] และส่งผลให้ความต้องการของเกมเมอร์มีความซับซ้อนมากขึ้นอีกเช่นกัน
ปัจจุบัน เราจึงเห็นอุปกรณ์พิเศษเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นแป้นพิมพ์และเมาส์ที่ปรับแต่งเองได้ตามความต้องการ คอนโทรลเลอร์ที่ออกแบบให้เหมาะสมต่อหลักสรีรศาสตร์ แว่นตากรองแสงสีฟ้าที่สามารถทำหน้าที่เป็นแว่นกันแดดโพลาไรซ์ (Polarized) ไปพร้อมกันได้ด้วย ในด้านเสียง ชุดหูฟังระดับพรีเมียมที่มีสามารถให้เสียงหลายทิศทางและระบบการสั่นแบบต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ราบรื่น และตอบโจทย์ความต้องการของเกมเมอร์แต่ละคนได้มากยิ่งขึ้น
ในปี 2566 เหล่าเกมเมอร์มีแนวโน้มที่จะต้องการปลดปล่อยความเป็นตัวเองผ่านประสบการณ์ที่มากกว่าหน้าจอมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างได้แก่ การพิมพ์อุปกรณ์เสริมส่วนบุคคลแบบสามมิติ และฟังก์ชันแสงสว่าง RGB ที่รวมเข้ากับอุปกรณ์ทั้งหมดของคุณเพื่อช่วยให้คุณเพลิดเพลินไปกับการเกมได้ดีขึ้น
นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนประสบการณ์ไฮบริดแบบ inclusive และปลอดภัยยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน การวิจัยและการพัฒนาจะมุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีเพื่อลดอุปสรรคต่อการสื่อสารที่ไม่ราบรื่น ตั้งแต่โซลูชันห้องประชุม การประชุมแบบวิดีโอออนไลน์ ไปจนถึงโน้ตบุ๊กสำหรับธุรกิจที่รองรับกล้องหลายตัว ซึ่งเทคโนโลยีที่สนับสนุนการทำงานร่วมกันจะสามารถช่วยสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานและอำนวยความสะดวกมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าภาพและเสียงจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การตอบทุกความต้องการถือเป็นหัวใจสำคัญหลักของการพัฒนานวัตกรรมเช่นกัน ตัวอย่างเช่น พนักงานออฟฟิศจำนวนมากเชื่อว่าการทำงานที่ออฟฟิศจะได้รับการพิจารณาให้เลื่อนตำแหน่งดีกว่า (42%) เมื่อเทียบกับเปอร์เซ็นต์ของพนักงานออฟฟิศที่เชื่อว่าการทำงานจากนอกสถานที่นั้นดีกว่า (10%)[5] เราเห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีนั้นมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดอุปสรรคที่ยังพบเจออยู่ในปัจจุบัน
ในปี 2566 เรามีแนวโน้มที่จะได้เห็น AI ถูกนำมาใช้ในรูปแบบใหม่ ๆ อย่างเช่นในเว็บแคม ระบบ AI จะตามจับใบหน้าของคุณให้หน้าของคุณโฟกัสอยู่เสมอ ฟังก์ชันใหม่ ๆ ที่นำ AI มาใช้งาน เช่น เอชพี สมาร์ท เซนส์ (HP Smart Sense) สามารถติดตามและเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานของแล็ปท๊อป ทำให้ผู้ใช้สามารถประหยัดแบตเตอรี่ พลังงานพัดลม และอายุการใช้งานโปรเซสเซอร์ได้มากขึ้น นอกจากนั้น โซลูชันใหม่ล่าสุดจะสามารถป้องกันการโจมตีของมัลแวร์โดยนำ AI มาใช้เพื่อให้สามารถป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ได้
การทำงานที่ยืดหยุ่นและเรียบง่ายมากขึ้น ขับเคลื่อนผ่านการบริการและโซลูชันต่าง ๆ
สำหรับธุรกิจระหว่างประเทศและรวมไปถึงพนักงานที่ไม่ว่าจะทำงานจากที่บ้าน สำนักงาน หรือ ที่ใดก็ตามนั้น ความเรียบง่ายและความยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญ ผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องตอบสนองต่อความต้องการ และสามารถทำให้ผู้ใช้มีไลฟ์สไตล์และการทำงานแบบไฮบริดที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถจัดการกับพื้นที่ในการทำงานได้ดีมากขึ้น
เซอร์วิสและโซลูชันแบบครบวงจรที่ครอบคลุมทั้งพีซี เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันนั้น จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการลดภาระให้กับแผนกไอที ด้วยซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร อย่าง HP Anyware พนักงานจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงพื้นที่ทำงานดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องใช้ VPN ทำให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันได้จากทุกพื้นที่ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงสุด
นวัตกรรมที่ยั่งยืน ตอบโจทย์เป้าหมายขององค์กรที่มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
เป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ และผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นทำให้บริษัทเทคโนโลยีและบริษัทในทุกอุตสาหกรรม จำเป็นต้องเสริมสร้างนโยบายความยั่งยืนของพวกเขาในปี 2566 ผู้บริโภคต่างตระหนักถึงผลกระทบจากการเลือกของพวกเขามากขึ้น และต้องการเลือกแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับแนวทางปฏิบัติและค่านิยมที่ยั่งยืน[6]
ความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ยั่งยืนช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้น ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใช้วัสดุรีไซเคิล หรือวัสดุที่ยั่งยืนอื่น ๆ ซึ่งในไม่ช้าคุณจะเห็นวัสดุหมุนเวียนทางชีวภาพ (Bio-Circular) ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของคุณมากขึ้น เช่น การใช้กากกาแฟมาผลิตจอมอนิเตอร์ หรือฝาด้านล่างของแล็ป ท็อปที่ทำมาจากน้ำมันปรุงอาหาร
ที่ เอชพี เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อความยั่งยืนควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคน นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์พีซีที่ยั่งยืนที่สุดในโลก[7] แล้ว เอชพียังใช้วัสดุรีไซเคิลมากกว่าพันล้านปอนด์ตั้งแต่ปี 2562[8] และเรายังคงเดินหน้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เช่น ให้บริการคอมพิวเตอร์ที่ปล่อยคาร์บอนเป็นกลาง (Carbon Neutrality) เพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ จัดการผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น
เราอยู่ในจุดเปลี่ยนที่น่าตื่นเต้นของการพัฒนาของเทคโนโลยี ในก้าวต่อไปเพื่อการผสานโลกจริงและโลกดิจิทัล หรือ Physical-digital จะช่วยเสริมประสบการณ์ในการทำงานและการพักผ่อนในรูปแบบใหม่ ๆ และยังสามารถช่วยให้เราสามารถโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
[1] Edelman Trust Barometer 2565: รายงานพิเศษ ความเชื่อมั่นในด้านเทคโนโลยี
[2] การสำรวจ เอชพี ไฮบริด ทั่วโลก สิงหาคม 2565
[3] New Zoo รายงานตลาดเกมทั่วโลก ปี 2565
[4] Statista แนวโน้มตลาดดิจิทัล ปี 2566
[5] ดังกล่าวข้างต้น
[6] แบบสำรวจความยั่งยืนและพฤติกรรมผู้บริโภคของ Deloitte ปี 2565
[7] ใช้กับพีซี เวิร์กสเตชัน จอแสดงผล และจำหน่ายขายหน้าร้านของ เอชพี ที่ผลิตหลังเดือนมกราคม ปี 2562 PEAT® ระดับโกลด์และซิลเวอร์ส่วนใหญ่ โดยตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดทั้งหมดและบรรลุผลสำเร็จ 50-74% ของคะแนนเสริมสำหรับ EPEAT® Silver และ 75-100% ของคะแนนเสริมสำหรับ EPEAT® Gold ตามมาตรฐาน IEEE 1680.1-2018 EPEAT® สถานะจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ สามารถไปที่ www.epeat.net สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ผลิตภัณฑ์บางประเภทมีจำหน่ายไม่ครบทุกประเทศ
[8] อ้างอิงจากพีซีและจอแสดงผลตั้งแต่ปี 2562 ถึง 2565 โดยใช้โลหะรีไซเคิล พลาสติก และไฟเบอร์