รีวิว realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G สมาร์ตโฟนสุดสวยด้วยดีไซน์หรูหราพรีเมียมฝีมือดีไซน์เนอร์ระดับโลก จัดเต็มสเปคแรงระดับเรือธง พร้อมกล้อง 200MP ซูมสวยคมชัด ลูกเล่นการถ่ายภาพครบครัน แบตอึดชาร์จไว 100W SUPERVOOC ในราคาสุดคุ้มสำหรับคนรุ่นใหม่
สวัสดีครับ วันนี้ทีมงานล้ำหน้าโชว์ มาพร้อมกับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่จาก realme ในตระกูล Number Series ที่นับเป็นหนึ่งในไลน์ผลิตภัณฑ์กลุ่มแรกของแบรนด์เรียลมี ที่มียอดจัดส่งทั่วโลกแล้วมากกว่า 50 ล้านเครื่อง และยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้แบรนด์สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และทำยอดขายทะลุ 100 ล้านเครื่องได้ในระยะอันรวดเร็ว
โดยใน รีวิว นี้ จะมาพร้อมกันทีเดียว 2 รุ่น คือ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G ที่มีความน่าสนใจหลายเรื่องให้เราได้ทดสอบลองใช้ และสร้างความประทับใจที่ดี ทั้งเรื่องดีไซน์อันสวยงาม ประสิทธิภาพที่ดี และกล้องที่บอกเลยว่าถ่ายได้สนุก เก็บภาพได้สวยและมุมมองที่มากกว่าเดิม
Unbox แกะกล่อง
เริ่มด้วยเรามาแกะกล่องดูกันก่อนว่าภายในแพ็กเกจมีอะไรมาให้ โดยที่ตัวกล่องมากับสีเหลืองสวยสดตามสไตล์ของ realme โดยที่ในกล่องของทั้งสองรุ่นจะมีหน้าตาเหมือนกัน ภายในก็จะมีอุปกรณ์เพิ่มเติมอย่าง เคสใส TPU สำหรับใส่ปกป้องตัวเครื่อง, เอกสารการรับประกัน, คู่มือการใช้งานเบื้องต้น และเข็มสำหรับจิ้มถาดซิม
จะมีต่างกันก็ตรงชุดอุปกรณ์ชาร์จ ที่อะแดปเตอร์ในกล่องของ realme 11 Pro+ 5G จะรองรับมาตรฐานชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC ส่วนในกล่อง realme 11 Pro+ 5G จะให้อะแดปเตอร์ชาร์จมาตรฐาน 67W SUPERVOOC และจะมีสายชาร์จ USB-C to USB-A มาให้ด้วย
ลองสัมผัส ดูดีไซน์
สำหรับ realme 11 Pro series ตัวเครื่องจะมี 3 สี 2 ดีไซน์ ที่ให้ความสวยงามที่โดดเด่นและแตกต่างอย่างชัดเจน กับดีไซน์แรกเป็น สีดำ Astral Black ที่ไม่ได้ดำสนิท แต่มีวัสดุพื้นผิวแบบด้านที่มีประกายกลิตเตอร์ระยิบระยับแทรกอยู่ ให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายคลาสิก แต่ก็มีมิติน่าค้นหา
ส่วนเครื่องที่ทางล้ำหน้าฯ เราได้มาทดสอบ จะเป็นอีกดีไซน์ที่มี 2 สีด้วยกันคือ สี Sunrise Beige ที่เป็นโทนสีเบจตัดกับสีทอง ที่ได้แรงบันดาลใจจากถนนในกรุงมิลานยามพระอาทิตย์ขึ้น และสีเขียว Oasis Green
โดยที่ดีไซน์นี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Realme Studio กับคุณ Matteo Menotto อดีตนักออกแบบลายพิมพ์และสิ่งทอของ GUCCI แบรนด์แฟชั่นหรูระดับไฮเอนด์ ชั้นนำระดับโลก ได้ฝาหลังเลือกใช้วัสดุหุ้มเป็น Premium Lychee Vegan Leather หนังเทียมวีแกน ที่ให้สัมผัสในการจับที่ละมุนมือ และยังมีความทนทานพร้อมช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยเปื้อนได้ง่าย อีกทั้งยังเก็บรายละเอียดเล็กน้อยที่เป็นเหมือนเดินเส้นด้ายเย็บตะเข็บ 3 มิติสวยงามอย่างปราณีต
ที่ด้านหลังเครื่อง ตัวโมดูลกล้องถูกออกแบบเป็นรูปทรงวงกลมสีดำขนาดใหญ่ ตัดกับขอบโลหะสีเข้ากับตัวเครื่อง เสริมให้รูปลักษณ์ดูหรูหราได้อย่างลงตัว
ตัวเฟรมเครื่องวัสดุเป็นพลาสติกโพลิเมอร์ที่ทำสีให้มีความมันวาวเหมือนโลหะ มีความโค้งมนรับกับฝาหลังที่โค้งเข้าหาแบบ 3D ที่สวยงามและถือจับได้กระชับมือ โดยที่ด้านข้างของเครื่องจะมีปุ่มปรับเพิ่มลดระดับเสียง, ปุ่ม power ส่วนที่ด้านบนเครื่องจะมีช่องกระจายเสียงลำโพงให้ออกด้านข้างกับไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน
ที่ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องลำโพงอีกชุด พร้อมทั้งพอร์ต USB-C สำหรับชาร์จแบตเตอรี่, เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม, โอนถ่ายข้อมูล ต่อมาจะเป็นช่องไมโครโฟนสำหรับการสนทนา และช่องของถาดซิม ที่รองรับซิมขนาด Nano SIM ได้ 2 เบอร์ โดยที่ไม่สามารถเพิ่ม microSD ได้
หน้าจอดีไซน์เป็นแบบขอบโค้ง 61 องศาแบบ Curved Vision Display รับกับขอบเครื่อง มีเว้นหน้าจอตรงกลางด้านบนแบบ Punch-hole สำหรับกล้องหน้า และที่ด้านบนขอบจอจะเป็นลำโพงเสียงสนทนา และจะมีระบบเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบใต้จอมาให้ด้วย
สเปคของจอ ถือว่าให้มาดีมากๆ ขนาดใหญ่ถึง 6.7 นิ้ว เป็นจอแบบ OLED แสดงผล 1.07 ล้านสี ค่าความสว่างสูงสุด 950 nits ความละเอียด FHD+ (2412 x 1080 พิกเซล) ค่า Refresh Rate 120Hz, Touch sampling rate 360Hz รองรับ HDR10+ ให้ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ค่า Contrast Ratio 5000000:1
ประสิทธิภาพ Performance
หลักๆ แล้ว สเปคภายในของ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G นั้นแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวชิปเซ็ตหน่วยประมวลผล ใช้เป็น MediaTek Dimensity 7050 Octa-core 2.6GHz ผลิตบนเทคโนโลยี 6nm ของ TSMC และตัว GPU ประมวลผลกราฟิกเป็น Mali-G68
จะมีต่างกันตรง realme 11 Pro+ 5G จะให้ ROM พื้นที่เก็บข้อมูลใหญ่ถึง 512GB พร้อม RAM 12GB ปรับเพิ่ม RAM expandsion ได้อีก 12GB รวมเป็น 24GB
ส่วน realme 11 Pro 5G ให้ ROM พื้นที่เก็บข้อมูล 256GB พร้อม RAM 8GB ปรับเพิ่ม RAM expandsion ได้อีก 8GB รวมเป็น 16GB
ทางด้านของแบตเตอรี่ทั้ง 2 รุ่นให้มาที่ความจุ 5,000mAh เท่ากัน ตามสเปคที่เรียลมีแจ้งนั้น บอกว่าแบตเตอรี่สามารถใช้งานการโทรได้ 29.62 ชม. สแตนด์บายปกติ 432.15 ชม. (18 วัน) สนทนา WeChat 23.15 ชม. ฟังเพลง 37.94 ชม. ชมวิดีโอ 18.64 ชม. และเล่นเกม 8.07 ชม.
โดยจะมีในส่วนเทคโนโลยีการชาร์จที่ต่างกัน โดยใน realme 11 Pro+ 5G จะเป็น 100W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% ได้ภายในเวลาแค่ 26 นาที และชาร์จแค่ 3 นาที ก็จะได้แบตเตอรี่เพิ่มมาถึง 17% โดยที่ตัวอะแดปเตอร์ที่ให้มายังเป็นแบบ GaN ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา และยังระบายความร้อนระหว่างการชาร์จได้ดียิ่งขึ้น มากกว่า 85%
ส่วน realme 11 Pro 5G จะได้เป็นระบบ 67W SUPERVOOC Charge ชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 100% ได้ในเวลา 47 นาที และชาร์จได้ 50% ภายในเวลา 18 นาที 21 วินาที
พร้อมกันนี้ ยังมีการใส่เทคโนโลยีที่ช่วยถนอมอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานมากขึ้น ด้วยการชาร์จ VFC และอัลกอริทึมการปรับแต่งอัจฉริยะ VCVT ทำให้สุขภาพแบตเตอรี่ยังมีความจุมากกว่า 80% หลังจากการชาร์จเร็วไปแล้ว 1,600 รอบ ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าคู่แข่งในตลาดถึง 2 เท่า
และในการชาร์จเร็วยังมั่นใจได้ในความปลอดภัยที่มีการป้องกันถึง 38 ระดับ เพื่อความปลอดภัยของการชาร์จพลังงานสูงจากเครื่องชาร์จ ตั้งแต่ที่สายเคเบิลข้อมูล พอร์ตชาร์จโทรศัพท์มือถือไปยังเซลล์แบตเตอรี่ วงจรตรวจสอบความปลอดภัยหลายวงจรสามารถตัดไฟได้โดยตรงในกรณีที่เกิดความผิดปกติ การออกแบบที่ทนไฟของ PSPS3 และวัสดุ V 0 เกรดทนไฟที่เป็นพลาสติกสูงที่สุดในอุตสาหกรรม ก็ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่กันไฟสำหรับโทรศัพท์ทั้งเครื่อง
การเชื่อมต่อ รองรับเครือข่าย 5G แบบ Dual mode ได้พร้อมกันทั้ง 2 ซิม และเชื่อมต่อไร้สายมาตรฐาน Wi-Fi6 สามารถรับส่งข้อมูลได้ในระดับความเร็วสูง และรองรับ Bluetooth 5.2, NFC อีกด้วย
ระบบเสียงตัวเครื่องเป็นลำโพงคู่เสียงสเตอริโอ ที่รองรับระบบ Dolby Atmos และ Hi Res ให้คุณภาพเสียงที่ดี มีมิติรอบด้านทั้งในการชมภาพยนตร์และฟังเพลง
ตัวระบบปฏิบัติการเป็น Android 13 ครอบด้วย realme UI 4.0 ที่ได้รับการออกแบบหน้าตาให้มีความทันสมัยและสมจริงมากขึ้น ตั้งแต่ตัวของไอคอนที่มีรายละเอียดมากขึ้น ฟอนต์ตัวหนังสือที่ปรับรูปร่างให้อ่านได้สบายตา หน้าศูนย์กลางควบคุมแบบสไตล์การ์ด จัดหมวดหมู่ให้ใช้งานได้อย่างรวดเร็ว และรวมคำสั่งควบคุมอุปกรณ์ IoT ต่างๆ ไว้ในที่เดียว ใช้สั่งงานได้สะดวกยิ่งขึ้นกว่าเดิม
และด้วยหน้าจอที่เป็นแบบ OLED สามารถใช้งาน Alway on Display (AOD) ได้มากขึ้น อย่างการแสดงรายชื่อเพลงที่กำลังเล่นอยู่บนหน้าจอ และยังมี Widget สำหรับควบคุมการเล่นเพลงได้จากหน้าล็อคสกรีนได้โดยไม่ต้องปลดล็อคหน้าจออีกด้วย
กล้อง – Camera
เราจะมาพูดกันถึงความต่างกันในส่วนสเปคกล้องของทั้ง 2 รุ่นกันก่อนเลย
realme 11 Pro+ 5G
- กล้องหน้า 32MP รูรับแสง f/2.45
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลัก 200MP Samsung HP3 รูรับแสง f/1.69 มี OIS
- กล้องมุมกว้าง Ultra-wide 8MP รูรับแสง f/2.2 มุมกว้าง 112 องศา
- กล้องมาโคร 2MP รูรับแสง f/2.4 ระยะโฟกัส 4 ซม.
realme 11 Pro 5G
- กล้องหน้า 16MP รูรับแสง f/2.45
- กล้องหลังคู่ 2 เลนส์
- กล้องหลัก 100MP รูรับแสง f/1.75 มี OIS
- เลนส์ Portrait 2MP รูรับแสง f/2.4
จะเห็นเลยว่า ความต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้คือ realme 11 Pro+ 5G ตัวกล้องหน้าจะมีความละเอียดที่มากกว่า ส่วนกล้องหลังตัวกล้องหลักก็มีความละเอียดที่มากกว่า และมีเลนส์กล้องที่เก็บได้ในระยะที่มากกว่า ที่ถ่ายได้ตั้งแต่ระดับมาโคร, ระยะปกติ, ระยะกว้างพิเศษ และยังถ่ายในระยะซูมที่เก็บความละเอียดได้คมชัดอีกด้วย
ทั้ง 2 รุ่นนี้ จะใช้สถาปัตยกรรมการถ่ายภาพ HyperShot Imaging 2.0 ที่มีอัลกอริธึมในการปรับแต่งภาพที่ถ่ายถึง 4 ตัวด้วยกันคือ
- QuickShot Acceleration Engine ช่วยเร่งความเร็วในการถ่ายภาพ
- Image Engine ช่วยปรับคุณภาพของภาพถ่าย
- Anti-shake Engine ช่วยปรับลดการสั่นไหวระหว่างถ่ายภาพ
- Colour Boost Engine ช่วยเร่งสีในภาพให้มีความสดใสมากขึ้น
เซ็นเซอร์ Samsung ISOCELL HP3
ครั้งแรกของเรียลที่เลือกใช้เซ็นเซอร์กล้อง Samsung ISOCELL HP HP3 SuperZoom ความละเอียดสูงถึง 200MP ขนาดเซ็นเซอร์ 1/1.4 นิ้ว และรูรับแสงกว้าง f/1.69 ถือว่าเป็นสเปคกล้องสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดในกลุ่มระดับนี้
จุดเด่นของเซ็นเซอร์ 200MP นอกจากจะสามารถถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูง ทำให้ได้ภาพที่มีความชัดเจน และยังมีเทคโนโลยี Tetra2pixel รวมพิกเซลให้อัตโนมัติตามสภาพแสง ด้วยการรวมแบบ 4-in-1 ที่เอาเม็ดพิกเซล 0.56 μ m 200MP รวมกันเป็น 1.12 μ m 50MP ช่วยให้สามารถถ่ายภาพที่มีสภาพแสงน้อยให้มีความสว่างชัดมากขึ้น และแบบ 16-in-1 ที่รวมพิกเซลเป็น 2.24 μ m 12.5MP ที่ถ่ายในสภาพแสงมืดสุดๆ ก็ยังให้ภาพที่มีความสวยงาม เห็นรายละเอียดในที่มืดได้ดียิ่งขึ้น
รวมถึงการที่มีความละเอียดพิกเซลของเซ็นเซอร์ถึง 200MP ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการจับโฟกัสภาพอัตโนมัติ ตามความแตกต่างของเฟสแนวนอนและแนวตั้งบนพิกเซลที่อยู่ติดกัน 4 พิกเซล ภาพที่ถ่ายได้แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ก็ยังเก็บรายละเอียดได้คมชัด ไม่มีปัญหาภาพสั่นไหวหรือว่าภาพเบลอ
ซูม 4 เท่าโดยไม่สูญเสียรายละเอียด
ความเหนือชั้นของเซ็นเซอร์ 200MP ยังถูกนำมาใช้กับการซูมเพื่อการถ่ายภาพอีกด้วย ใน realme 11 Pro+ 5G ยังสามารถถ่ายภาพซูมได้สูงสุดถึง 4 เท่าโดยภาพมีความคมชัดและไม่สูญเสียรายละเอียด โดยเทคนิคจะคล้ายๆ กับ Tetra2pixel คือ
- เมื่อเลือกซูม 2x เซ็นเซอร์จะเปลี่ยนเป็นโหมด 4-in-1 50MP จากนั้นก็จะเลือกเก็บภาพขนาด 12.5MP บริเวณตรงกลางเซ็นเซอร์เพื่อให้ได้ภาพขนาด 2x 12.5MP ที่คมชัด
- ถ้าเลือกซูม 4x กล้องจะถ่ายเป็นโหมด 200MP เต็มความละเอียดของเซ็นเซอร์แล้วเลือกเอาต์พุตภาพ 12MP ตรงบริเวณกลางเซ็นเซอร์ เพื่อให้ได้ภาพ 4x 12.5MP
ตัวอย่างภาพในระยะ 1x 2x และ 4x
ต้องเรียกว่า realme 11 Pro+ 5G เป็นสมาร์ตโฟน 5G รุ่นแรกที่สามารถใช้กล้องเลนส์เดี่ยวซูมได้ 4 เท่าโดยไม่สูญเสียความคมชัด และมีประสิทธิภาพในการเก็บรายละเอียดของภาพที่ซูมในระยะ 4x สูงกว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นที่ใช้เซ็นเซอร์ 200MP เหมือนกันถึง 242%
ประสิทธิภาพด้านการซูมของ realme 11 Pro+ 5G ยังทำได้ดีในโหมด 2x Portrait ที่สามารถเก็บภาพถ่ายพอร์ตเทรตในระยะ 2x ที่เป็นช่วงเลนส์ระยะประมาณ 46mm ถือเป็นช่วงที่เหมาะกับการถ่ายภาพบุคคลที่สุด และยังทำงานร่วมกับอัลกอริธึมภาพ ปรับฉากหลังให้มีความเบลอแบบกล้องโปร SLR ขับให้ตัวแบบมีความโดดเด่น และมี AI ช่วยปรับความงามของผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ
Street Photography 4.0
ยกให้เป็นฟีเจอร์ขึ้นชื่อสำหรับสมาร์ทโฟนของ realme ออกแบบมาสำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายภาพแนวสตรีท คุณสามารถหยิบมือถือขึ้นมา เล็งแล้วเก็บภาพได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการกดสลับเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ได้ง่าย มีให้เลือกการปรับระยะโฟกัสแบบ Manual เพื่อทำภาพที่มีวัตถุในระยะ foregroud เบลอๆ แล้วไปชัดที่วัตถุอื่นที่อยู่ด้านหลังได้เหมือนปรับเลนส์ในกล้องโปร
และในโหมด Street Photography 4.0 ยังมีเพิ่ม เทคโนโลยี Auto-Zoom เข้ามา ถือเป็นรุ่นแรกในอุตสาหกรรม ที่มีความสามารถในการตรวจจับวัตถุและรูปแบบการครอบตัดภาพให้ได้องค์ประกอบที่เหมาะสม โดยประมวลผลจากภาพถ่ายกว่า 10,000 ภาพ
การใช้งานนั้นสะดวกมากๆ เพียงแค่เราถือสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วเล็งเพื่อจะถ่ายภาพ จากนั้นเลือกแตะในตำแหน่งในภาพที่ต้องการจะเน้นเป็นจุดสำคัญ กล้องจะทำการซูมเข้าไปโดยวางตำแหน่งของเฟรมภาพเพื่อให้จุดที่เราเลือกนั้นอยู่ในองค์ประกอบที่สวยที่สุด เป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วมากๆ
พิเศษกว่าเดิม ครั้งนี้ทาง realme ได้ร่วมมือกับ Lonely Planet นิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก ในการสร้างฟิลเตอร์พิเศษ 3 แบบ คือ Cinematic, Crisp และ Tranquil ที่มีคาแรคเตอร์แตกต่างกัน ยังมีเฟรมภาพพิเศษให้เลือกเวลาถ่ายมาให้อีกด้วย
การถ่ายกลางคืนและสภาพแสงน้อย
ในสภาพแสงน้อยหรือเวลากลางคืน realme 11 Pro+ 5G ก็ทำได้ดีมาก อย่างที่เล่าไปตอนต้นกับเทคโนโลยี Tetra2pixel รวมหลายพิกเซลเพื่อให้เก็บรายละเอียดและความสว่างในภาพได้ดีขึ้น เรายังเลือกถ่ายในโหมด Pro เพื่อปรับตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์, รูรับแสง, ISO และ White Balance เหมือนกับการถ่ายภาพด้วยกล้อง SLR เพื่อให้การเก็บภาพตอนกลางคืนมีลูกเล่นมากขึ้น
เทียบการถ่ายภาพด้วยโหมดธรรมดา และใช้โหมดกลางคืน จะเห็นว่าภาพมีความคมชัดและเห็น
พร้อมกันนี้ยังมี Moon Mode สำหรับถ่ายดวงจันทร์ ผ่านการคำนวนยอัลกอริทึม AI Scene Recognition ที่จะทำงานให้อัตโนมัติเมื่อเปิด AI แล้วซูมระยะเกิน 10x ขึ้นไปที่ดวงจันทร์ ถือว่าเป็นครั้งแรกในสมาร์ทโฟน realme ที่มีฟีเจอร์นี้ และยังมีโหมด Starry Sky สำหรับถ่ายเก็บภาพดาวบนท้องฟ้า สามารถใช้มือถือแล้วถ่ายโดยไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้องได้
Super Group Portrait
ด้วยกล้องหลักที่มีความละเอียดถึง 200MP ทำงานร่วมกับอัลกอริธึมในการปรับแต่งใบหน้าที่ realme พัฒนาขึ้นมา ทำให้เวลาถ่ายภาพแบบกลุ่ม ก็ยังสามารถเลือกปรับแต่งใบหน้าของแต่ละคนที่อยู่ในภาพ ให้มีผิวและความสวยงามเป็นธรรมชาติได้ทุกคน โดยสามารถตรวจจับใบหน้าและปรับแต่งให้ได้สูงสุดไม่เกิน 10 คนเลยทีเดียว
การถ่ายเซลฟี่ด้วยกล้องหน้า
สำหรับกล้องหน้าของ realme 11 Pro+ 5G จะได้ความละเอียด 32MP ส่วน realme 11 Pro 5G จะเป็น 16MP ตัวกล้องจะระยะมุมกว้างของเลนส์ 90 องศา ช่วยให้เวลาถ่ายภาพเซลฟี่แนวนอนเก็บระยะภาพได้กว้างขึ้น สามารถห็นวิวทิวทัศน์ด้านหลังได้มากกว่า
โหมดถ่ายเซลฟี่ มีให้ปรับ retouch ใบหน้าได้แบบละเอียด ทั้งปรับความเนียนของผิว และโครงหน้า
ถ่ายเซลฟี่ในโหมดพอร์ตเทรต ที่เลือกปรับความเบลอของฉากหลัง ตัดขอบกับตัวแบบด้านหน้าได้อย่างเรียบเนียนมีมิติ
รวมทั้งยังมี AI จัดการด้าน Beauty เคลียร์จุดตำหนิอย่างฝ้า สิว และปรับโทนผิวให้มีความสม่ำเสมอ เลือกปรับได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมทั้งยังมีการปรับพอร์ตเทรตให้ฉากหลังเบลอเป็นโบเก้ที่สวยงาม ตัดขอบเส้นผมและตัวแบบจากฉากหลังได้อย่างกลมกลืน ไม่หลอกตา
สรุป รีวิว realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G หลังลองใช้งานจริงแล้ว ชอบแค่ไหน?
เรื่องของดีไซน์ส่วนตัวประทับใจมาก การออกแบบที่ให้ความรู้สึกหรูหราและการสัมผัสที่นุ่มนวลกระชับมือ เป็นการยกระดับความสวยงามของสมาร์ทโฟนของเรียลมีให้ดูพรีเมียมจนไม่อยากใส่เคสมาบดบังความงามของมัน
ตัวสเปคนั้นจัดมาให้ดีรอบด้านตั้งแต่หน้าจอที่เป็น OLED ให้สีสันที่สวยงาม คมชัด มีรีเฟรชเรตให้การใช้งานที่ลื่นไหล ชิปเซ็ตที่เป็น MediaTek Dimensity 7050 พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ และ RAM ที่ขยายเพิ่มได้ ทำให้การใช้งานต่างๆ คล่องตัว เปิดแอปหลายๆ แอปพร้อมกันได้ไม่มีอืด พร้อมกับ realme UI 4.0 ที่ใช้งานง่าย ตอบสนองการทำงานได้ดี ส่วนแบตเตอรี่ใช้งานได้เต็มวันแบบไม่ต้องห่วง เสริมด้วยระบบชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC เร็วในระดับที่แทบไม่รู้สึกว่าจะต้องรอในการชาร์จเลย
ในส่วนของกล้องพัฒนาแบบก้าวกระโดดจากรุ่นก่อน ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ 200MP ทำให้เพิ่มศักยภาพในการถ่ายภาพดีขึ้นรอบด้าน ทั้งด้านความคมชัด ซูม 4 เท่ายังไม่เสียรายละเอียด ถ่ายกลางคืนแสงน้อยได้คมชัดให้รายละเอียดในส่วนเงามืดได้ดี และที่ชอบมากคือ Street Mode ที่เป็นเอกลักษณ์ของ realme หยิบขึ้นมาถ่ายได้ทันใจ เพิ่มฟีเจอร์ลูกเล่น Auto-zoom ช่วยให้จัดเฟรมได้อย่างรวดเร็ว และฟิลเตอร์สวยๆ ให้เลือก ต้องยอมรับว่านี่เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายได้สนุกมาก และเชื่อว่าถ้าคุณชอบถ่ายรูปจะประทับใจกับรุ่นนี้ด้วยเช่นกัน
ถ้าถามว่าระหว่าง 2 รุ่นนี้ จะเลือกรุ่นไหนดี สำหรับ realme 11 Pro 5G โดยรวมถือว่าค่อนข้างครบเครื่อง เพราะสิ่งที่เหมือนกันก็ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมมากๆ ตั้งแต่ดีไซน์ที่หรูหราน่าใช้ หน้าจอ OLED ขนาดใหญ่ให้สีสันสวยงามคมชัด แบตเตอรี่ใหญ่ใช้งานเต็มวันได้สบายๆ รวมถึงประสิทธิภาพของชิปเซ็ตที่อยู่ในระดับที่ดีทั้งการใช้งานทั่วไป และการเล่นเกมที่มีกราฟิกสูงๆ ก็ยังรับมือได้อย่างสบายๆ
แต่ส่วนตัวแล้ว ผมก็คงเชียร์ให้เลือกตัว realme 11 Pro+ 5G ไปเลยที่ครบเครื่องกว่าในเรื่องของกล้องที่มีระยะเลนส์ให้เลือกใช้มากกว่า หลากหลายกว่า ส่วนทางด้านสเปค ROM กับ RAM ก็ให้มามากกว่า ช่วยให้ทำงานหลายแอปพร้อมกันได้ลื่นไหลมากขึ้น และมีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพหรือวิดีโอที่ถ่ายได้มากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งเรื่องของระบบชาร์จไว ต้องยอมรับเลยว่า 100W SUPERVOOC นี่ชาร์จได้เร็วถึงอกถึงใจแทบจะไม่รู้สึกว่าต้องรอกันเลย
เอาเป็นว่าถ้างบประมาณปรับเพิ่มได้ เชียร์ครับ จัดเลย realme 11 Pro+ 5G ไม่ผิดหวังแน่นอน แถมในช่วงเปิดตัวยังมาพร้อมโปรโมชันคุ้มสุดๆ มาให้อีกด้วย
ราคา โปรโมชัน สำหรับ realme 11 Pro+ 5G และ realme 11 Pro 5G
realme 11 Pro+ 5G นำเสนอรุ่นความจุ 12/512GB โทนสี Sunrise Beige และ Oasis Green ใน ราคา 16,999 บาท โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฏาคมผ่านช่องทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสามารถสั่งจองได้ในราคาเพียง 500 บาท พิเศษสำหรับช่วงพรีออเดอร์รับของแถมฟรี! มูลค่า 9,999 บาท และรับส่วนลดเพิ่มเติมตามแต่ละ ช่องทาง หรือสามารถเป็นเจ้าของได้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคมเป็นต้นไป รับฟรี realme Gift Box มูลค่า 1,999 บาท นอกจากนี้ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง Lazada โดยหากพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฏาคมจะได้รับคูปองส่วนลดเพิ่มไปอีก 1,000 บาท (เหลือเพียง 15,999 บาทเท่านั้น)
ช่องทางการสั่งซื้อ : https://bit.ly/3p8Pwny
realme 11 Pro 5G นำเสนอรุ่นความจุ 8/256GB โทนสี Sunrise Beige และ Astral Black ใน ราคา 12,999 บาท โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฏาคม สำหรับช่องทาง realme Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ โดยสามารถสั่งจองได้ในราคาเพียง 500 บาท พิเศษสำหรับช่วงพรีออเดอร์รับของแถมฟรี มูลค่า 9,999 บาท และรับส่วนลดเพิ่มเติมตามแต่ละช่องทาง หรือสามารถเป็นเจ้าของได้พร้อมกันตั้งแต่วันที่ 7 กรกฏาคมเป็นต้นไป รับฟรี realme Gift Box มูลค่า 1,999 บาท นอกจากนี้ยังสามารถเป็นเจ้าของได้ก่อนใครผ่านช่องทาง Shopee ที่เดียว โดยสามารถพรีออเดอร์ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน – 6 กรกฏาคมจะได้รับคูปองส่วนลดเพิ่มไปอีก 1,000 บาท (เหลือเพียง 11,999 บาทเท่านั้น) ช่องทางการสั่งซื้อ : https://bit.ly/43uUSsh