รีวิว OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ครั้งแรกกับสมาร์ตโฟนราคาระดับกลาง ที่มาพร้อมกับกล้อง Telephoto Portrait Camera ให้ภาพถ่ายพอร์ตเทรต ใกล้ยิ่งกว่า สวยโดดเด่นยิ่งขึ้น มาพร้อมกับ OPPO Enco Air
3 Pro หูฟังไร้สายรุ่นแรกของโลก ที่ใช้ไดอะแฟรมที่ผลิตจากเยื่อไผ่ธรรมชาติ ให้เสียงความละเอียดสูงอย่างสมจริง
สวัสดีครับผม ครั้งนี้ถือว่าพิเศษมากๆ กับสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ใน Reno Series จากทางออปโป้ ที่เปิดตัวพร้อมกับการเฉลิมฉลองครอบรอบการทำตลาดในประเทศไทยมาอย่างยาวนานเป็นปีที่ 15 ปี ที่มีการพัฒนาและนำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยบนโทรศัพท์มือถือมาอย่างต่อเนื่อง
ทางออปโป้เปิดตัวสมาร์ตโฟน Reno Series พร้อมกันทีเดียวเลย 2 รุ่น คือ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G พร้อมตอกย้ำความเป็น “The Portrait Expert” ตัวจริง ด้วยกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera ให้คุณถ่ายภาพพอร์ตเทรตแบบซูมออปติคอล 2 เท่า ให้ได้มุมมองภาพที่ใกล้และโดดเด่นมากขึ้น
Unbox แกะกล่อง
ก่อนจะเริ่มรีวิวมาแกะกล่องกันก่อน ทั้ง 2 รุ่นนี้แพ็กเกจคือมาเหมือนกันเป๊ะๆ ตัวกล่องวัสดุเป็นกระดาษขาวไม่เคลือบสี พิมพ์สีดำแต่มีลูกเล่นสีเหลือบรุ้งที่หน้ากล้องดูมีสไตล์
ภายในจะมีแยกตัวกล่องที่ใส่เคสใส TPU เพื่อใส่กันรอยตัวเครื่อง และมีเอกสารการรับประกัน, คู่มือการใช้งาน และเข็มสำหรับจิ้มถาดซิม ส่วนตัวเครื่องจะมีซีลห่อเอาไว้ ใช้วัสดุเป็นกระดาษไข จะเห็นเลยว่าทั้งกล่องแทบจะไม่มีพลาสติกเลย ส่วนใหญ่จะเป็นกระดาษที่สามารถนำไปย่อยสลายหรือรีไซเคิลได้ง่าย
ด้านล่างสุดของกล่องจะมีอุปกรณ์สำหรับชาร์จมาให้ครบ ทั้งสายชาร์จแบบ USB-A to USB-C และอะแดปเตอร์ ที่จะแตกต่างกันตามมาตรฐานการชาร์จของแต่ละรุ่น โดยในกล่องของ OPPO Reno10 5G ตัวอะแดปเตอร์ชาร์จจะเป็นมาตรฐาน 67W SUPERVOOC ส่วนของ OPPO Reno10 Pro 5G จะเป็นมาตรฐาน 80W SUPERVOOC
OPPO Reno10 5G
OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ทั้งสองรุ่นนี้จริงๆ แล้วมีความคล้ายคลึงกันในหลายจุด ตั้งแต่เรื่องของดีไซน์ที่เป็นแบบเดียวกัน โดยมีมิติที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทางด้านของสเปคภายในก็มีความแตกต่างกันบ้าง ส่วนเรื่องของกล้องนั้นเซ็ตอัพเหมือนกัน ต่างตรงความสามารถเชิงลึกและประสิทธิภาพในตัวกล้องหลัก ในรุ่น Pro จะมากกว่า แต่ฟีเจอร์การใช้งานนั้นเหมือนกัน
เราจะมาเริ่ม รีวิว กับ OPPO Reno10 5G ที่เป็นรุ่นเริ่มต้นในซีรีย์ของปีนี้ และนี่คือสรุปข้อมูลสเปคทั้งหมด สำหรับรุ่นที่เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย
สเปค OPPO Reno10 5G
- ขนาด 162.29 x 74.05 x 7.99 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 185 กรัม
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว 3D Curved
- แสดงสี 1 พันล้านสี รองรับ HDR10+ 100% DCI-P3
- 120 Hz Ultra High Refresh Rate, 240 Hz touch sampling rate
- สัดส่วน 20.1:9 (2412 x 1080) 394ppi
- ขนาดจอต่อตัวเครื่อง 93%
- ความสว่าง 500 nits (ใช้งานกลางแจ้ง 800 nits, HDR 950 nits)
- ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7050 5 G Mobile Platform (6nm) 8-core
- GPU ARM Mail-G68 MC4
- 8GB RAM รองรับ RAM Expansion 4GB, 6GB, 8GB
- 256GB ROM รองรับ microSD สูงสุด 2TB
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 13.1 บนพื้นฐาน Android 13
- แบตเตอรี่ 5,000mAh
- ระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC
- กล้องหน้า 32MP เซ็นเซอร์ OV32C รูรับแสง f/2.4 มุมมอง FOV กว้าง 89° เทียบเท่าระยะเลนส์ 22mm
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลัก 64MP
- เซ็นเซอร์ OV64B รูรับแสง f/1.7 PDAF
- มุมมอง FOV กว้าง 81°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 25mm
- กล้อง Telephoto Portrait 32MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 709 RGBW
- รูรับแสง f/2.0
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 47mm
- กล้อง Ultra Wide 8MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 355
- รูรับแสง f/2.2
- มุมมอง FOV กว้าง 112°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 16mm
- กล้องหลัก 64MP
- ลำโพงคู่สเตอริโอ
- รองรับ 5G (2 ซิม Nano SIM Dual Standby)
- Wi-Fi 6, Wi-Fi 5 (2×2 MIMO, MU-MIMO)
- การเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.3, NFC, IR Blaster
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- มีให้เลือก 2 สี Ice Blue และ Silvery Grey
กล้อง – Camera
OPPO Reno10 5G ได้รับการพัฒนาระบบกล้อง Ultra Clear Portrait Camera เพื่อให้ประสบการณ์ถ่ายภาพพอร์ตเทรตที่ดีที่สุด โดยที่ตัวกล้องหลังจะเป็นแบบ 3 เลนส์ ประกอบด้วย
- กล้องหลัก 64MP
- เซ็นเซอร์ OV64B รูรับแสง f/1.7 PDAF
- มุมมอง FOV กว้าง 81°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 25mm
- กล้อง Telephoto Portrait 32MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 709 RGBW
- รูรับแสง f/2.0
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 47mm
- กล้อง Ultra Wide 8MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 355
- รูรับแสง f/2.2
- มุมมอง FOV กว้าง 112°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 16mm
ส่วนกล้องหน้าจะเป็นกล้อง 32MP Ultra-Clear Selfie Camera โดยรวมแล้วเป็นระบบกล้องที่เก็บได้ทุกระยะ เพราะมีให้มาครบหมดทั้งกล้องมุมกว้าง Ultra Wide และยังมีกล้อง Telephoto มาให้ด้วย
และจุดที่น่าสนใจที่สุดสำหรับกล้องใน OPPO Reno10 5G ก็คือเจ้ากล้อง Telephoto นี่ล่ะ ด้วยคุณสมบัติที่สามารถซูมแบบออปติคอล 2 เท่า พร้อมเซ็นเซอร์ Sony IMX709 แบบ RGBW ถือว่าเป็นกล้องเลนส์ซูมที่มีประสิทธิภาพและมีความละเอียดสูงสุดที่มีในสมาร์ตโฟนในกลุ่มราคาระดับกลาง
และด้วยจุดเด่นพิเศษของเซ็นเซอร์แบบ RGBW ในกล้อง Telephoto สามารถรับแสงโดยรวมเพิ่มขึ้น 60% และลดการเกิด noise ในภาพลงได้ถึง 35% (เมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์ RGBW ทั่วไป) ทำให้การใช้งานนอกจากจะซูมภาพได้คมชัดแล้ว ยังสามารถเก็บภาพที่มีสวยงาม สีสันสว่างสดใสไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแสงน้อยหรือเวลากลางคืน
นอกจากนี้ OPPO Reno10 5G ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่น่าทึ่ง เพราะว่าเอากล้อง Telephoto มาใช้ถ่ายพอร์ตเทรต เป็นการเอาระยะการซูมออปติคอล 2 เท่า ที่จะมีระยะ Focal Lengths ที่มีทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร ซึ่งจะมีระยะเทียบเคียงกับระยะ 50 มิลลิเมตร ที่ตากล้องมืออาชีพต่างรู้ดีกว่า ระยะนี้คือช่วงสำหรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตที่ดีที่สุด
ภาพพอร์ตเทรตที่ถ่ายด้วยกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera จึงมีความแตกต่างจากกล้องมือถือทั่วไป โดยภาพที่ได้ระยะฉากหลังที่อยู่ไกลจะถูกดึงเข้ามาใกล้กับตัวแบบมากขึ้น โดยที่ยังแยกความชัดลึกชัดตื้นได้อย่างสวยงาม ด้วยฉากหลังที่เบลอได้อย่างเป็นธรรมชาติ ขับให้ตัวแบบมีความโดดเด่นในสไตล์เดียวกับการถ่ายด้วยกล้องระดับโปร
การถ่ายภาพพอร์ตเทรต สามารถเลือกปรับค่ารูรับแสงเพื่อปรับความเบลอของฉากหลังได้มากน้อยตามที่ต้องการ และเมื่อรวมกับฟีเจอร์สำหรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรตของ OPPO อย่าง Bokeh Flare ก็ยิ่งช่วยทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์โบเก้ดวงไฟขึ้นที่ฉากหลังได้เหมือนใช้เลนส์กล้องคุณภาพสูงถ่าย รวมถึงยังมีลูกเล่นอย่าง AI Color Portrait ปรับฉากหลังให้เป็นสีขาวดำ เพื่อให้แบบที่ด้านหน้ามีสีสันโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
การถ่ายวิดีโอ ก็สามารถรองรับความละเอียดสูงสุดได้ถึง 4K และยังใช้ลูกเล่น Portrait อย่างการเบลอฉากหลังหรือลบสีฉากหลังกับการถ่ายวิดีโอได้ด้วยเช่นกัน
ส่วนการถ่ายเซลฟี่ กล้องหน้าของ OPPO Reno10 5G ใช้เป็นเซ็นเซอร์ภาพ OV32C ความละเอียดสูงถึง 32MP รูรับแสงกว้าง f/2.4 ทางยาวโฟกัสเทียบเท่าระยะ 22 มิลลิเมตร เก็บภาพได้มุมกว้าง พร้อมเลือกปรับรูรับแสงเพื่อเบลอฉากหลัง
การถ่ายภาพมี HDR ทั้งกล้องหลังและกล้องหน้า ช่วยให้เวลาถ่ายภาพเจอสภาพย้อนแสง ก็ยังเก็บภาพที่สว่างชัดเก็บรายละเอียดได้ทั้งตัวแบบและฉากหลังได้สวยงาม ไม่สว่างพร่า
ถ่ายภาพด้วย Night Mode ช่วยให้สามารถจัดการสีสันและแสงสว่างภายในภาพ ให้มีความสดใส ตัวแสงจะไม่มีความฟุ้ง ภาพที่ได้จึงมีความละเอียดที่ชัดเจนและสีสันที่สวยงามมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ OPPO Reno10 5G
Design – การออกแบบ
OPPO Reno10 5G จะมีให้เลือกทั้งหมด 2 สีด้วยกันคือ สีฟ้า Ice Blue และ สีเทา Silvery Grey มาพร้อมกับจุดเด่นของพื้นผิวที่ใช้กระบวนการ OPPO Glow ที่จะมีเอฟเฟกต์สะท้อนแสงที่เปลี่ยนไปตามมุมแสงที่ตกกระทบ
สีฟ้า Ice Blue ตัวเครื่องเป็นสีโทนเย็นที่เล่นกับกระบวนการ OPPO Glow ให้เส้นแสงคล้ายแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านน้ำแข็ง ทำให้ได้สีน้ำเงินที่มีชีวิตชีวา และด้วยเอฟเฟ็กต์บนพื้นผิวที่เป็นโครงสร้างแบบคริสตัลขนาดเล็ก ทำให้เวลาที่แสงมาตกกระทบ ก็จะมีเฉดสีที่เปลี่ยนไปอย่างสวยงาม รวมถึงผิวสัมผัสเป็นแบบด้านที่นุ่มละมุนนิ้วและเกิดรอยนิ้วมือได้ยาก
สีเทา Silvery Grey เป็นสีดำที่ไม่ดำสนิท ด้วยกระบวนการ OPPO Glow ที่มีโครงสร้างผลึกขนาดเล็กบนพื้นผิว จึงได้ความรู้สึกคล้ายกับโลหะที่มีมิติสวยงาม และเป็นผิวสัมผัสแบบด้านด้วยเช่นกันกัน
การออกแบบฝาหลังมีความพรีเมียมมากขึ้น ด้วยการจัดวางชุดโมดูลกล้องแบบ Custom Camera Metrix ที่วางเรียงกล้องทั้ง 3 เลนส์ให้เชื่อมต่อกัน รูปทรงของโมดูลจะเป็นทรงแคปซูล จัดแยกออกเป็น 2 ส่วน โดยที่ครึ่งบนจะเป็นกล้องหลัก 64MP กับไฟแฟลช LED อยู่บนพื้นผิวโลหะลาย CD ส่วนครึ่งล่างจะเป็นวัสดุกระจกสีดำ จัดเรียงกล้อง 32 MP Telephoto Portrait Camera และกล้อง Ultra Wide Angle Camera จะเห็นเลยว่าการเล่นสีแบบทูโทน บนวัสดุที่ต่างกัน และที่ขอบโมดูลยังตัดเหลี่ยมเป็นเงางาม ทำให้มีความโดดเด่นที่ลงตัว
OPPO ยังรักษาเอกลักษณ์ในการออกแบบสมาร์ตโฟน Reno Series ที่ตัวเครื่องมีความบางเฉียบและน้ำหนักที่เบา ด้วยความหนาเพียงแค่ 7.99 มิลลิมเมตร และน้ำหนักประมาณ 185 กรัม จับถือแล้วรู้สึกกระชับถนัดมือ ด้วยดีไซน์แบบ 3D Curved ของหน้าจอที่มีขอบข้างโค้ง 56 องศา และฝาหลังขอบข้างโค้งแบบ 3D ยิ่งทำให้เครื่องดูบางลงยิ่งขึ้นอีกด้วย
มาดูที่หน้าจอกันต่อ OPPO Reno10 5G เป็นหน้าจอ AMOLED 3D Curve ขนาด 6.7 นิ้ว ด้านหน้าเป็นกระจก AGC Dragontrail Star 2 ที่ทนทานต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น 20% (เทียบกับ Gorilla Glass 5) ขนาดจอนั้นเต็มพื้นที่เหลือขอบข้างน้อยมากๆ ด้วยขอบด้านซ้าย-ขวา บางเพียง 1.57 มิลลิเมตร และขอบจอด้านล่างแค่ 2.32 มิลลิเมตรเท่านั้น
คุณสมบัติของจอถือว่าอยู่ในเกรดที่ดีมาก ด้วยค่าอัตรารีเฟรชสูงสุดถึง 120Hz ที่ให้ภาพที่ไหลลื่นทั้งการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกม ความละเอียด FHD+ 2412 x 1080 แสดงสี 1 พันล้านสี รองรับ HDR10+ และให้สีที่เที่ยงตรง 100% DCI-P3
ค่าความสว่างของจออยู่ในระดับที่ดีเช่นกัน กับค่าความสว่าง HDR ถึง 950nits ใช้งานกลางแจ้งกลางแดดที่ 800nits ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน สีสันสดใส และมีรายละเอียดที่คมชัด
รอบๆ ตัวเครื่อง ด้านข้างจะมีปุ่มกดสำหรับปรับเพิ่มลดระดับเสียง, ปุ่ม Power ส่วนที่ด้านบนของเครื่อง จะมีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวน และมีช่อง IR Blaster สำหรับใช้งานกับแอปรีโมทคอนโทรลเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้
ด้านล่างตัวเครื่อง มีช่องลำโพงเสียง พอร์ต USB-C สำหรับชาร์จและโอนถ่ายข้อมูล และช่องถาดซิมที่รองรับได้ 2 ซิมขนาด Nano SIM ที่เลือกเพิ่ม microSD ได้สูงสุดถึง 2TB
ประสิทธิภาพ – Perfomance
OPPO Reno10 5G นอกจากตัวเครื่องดีไซน์สวยพรีเมียม กล้องถ่ายพอร์ตเทรตสวย เรื่องของประสิทธิภาพก็ทำได้ดี เริ่มด้วยชิปเซ็ตที่เลือกเป็น MediaTek Dimensity 7050 5 G Mobile Platform ผลิตบนเทคโนโลยีการผลิตระดับ 6 นาโนเมตร ประกอบด้วยซีพียู 8 คอร์ ความเร็วสูงสุด 2.6GHz
ตัว ROM พื้นที่เก็บข้อมูล ให้มา 256GB โดยที่สามารถเพิ่มความจุผ่านช่องเสียบ microSD ในถาดซิมช่องที่ 2 ได้อีก รองรับเพิ่มได้สูงสุดถึง 2TB สำหรับคนที่ต้องการใช้งานเก็บข้อมูลจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแอป ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ฯลฯ
หน่วยความจำ RAM ขนาดใหญ่ 8GB ที่รองรับโหมด RAM Expansion ที่จะเปลี่ยนเอาพื้นที่บน ROM ที่ไม่ได้ใช้งานมาเป็น RAM ชั่วคราว โดยเลือกปรับใช้ได้ตั้งแต่ 4GB , 6GB และ 8GB เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานหลายแอปพร้อมกันให้มีความลื่นไหลมากขึ้น
โดยรวมแล้ว สเปคนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีสำหรับสมาร์ตโฟนกลุ่มราคาระดับกลาง ที่ให้ประสบการณ์ใช้งานต่างๆ ได้ไหลลื่น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไปอย่างเล่นอินเทอร์เน็ต, โซเชียล, แชทสนทนา ไปจนถึงการใช้งานหนักๆ อย่างการเล่นเกมก็ยังใช้ได้อยู่ พร้อมกันนี้ OPPO Reno10 5G ยังได้รับการทดสอบ 48-Month Fluency Protection อย่างเข้มงวด ที่รับรองว่าใช้งานต่อเนื่องไป 2 ปี เครื่องยังคงทำงานได้ประสิทธิภาพที่ดี
เรื่องของแบตเตอรี่อึดชาร์จไว บอกเลยว่า OPPO ไม่มีทำให้ผิดหวังแน่นอน OPPO Reno10 5G ให้แบตเตอรี่ความจุถึง 5,000mAh เหลือเฟือสำหรับการใช้งานได้ตลอดวันเช้ายันเย็นแบบสบายๆ
เมื่อได้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่แล้ว ก็ต้องมีระบบชาร์จไวด้วย OPPO Reno10 5G รองรับ 67W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 0-100% ได้ในเวลาเพียงแค่ 47 นาทีเท่านั้น หรือถ้าต้องการชาร์จสั้นๆ 30 นาที ก็จะได้ปริมาณแบตเตอรี่ถึง 70% เลยทีเดียว
OPPO พิถีพิถันกับเทคโนโลยีการชาร์จสมาร์ทโฟน ที่นอกจากจะรวดเร็วแล้ว ยังมีเพิ่มเติมอย่าง Battery Health Engine ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้ และปรับการชาร์จไฟให้อย่างเหมาะสม เพื่อช่วยรักษาอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้นานมากขึ้นถึง 1,600 รอบการชาร์จและคลายประจุ (เทียบเท่ากับการใช้งาน 4 ปีหากชาร์จเฉลี่ยวันละครั้ง) ทำให้สุขภาพแบตเตอรี่เสื่อมช้ากว่าสมาร์นโฟนทั่วไป
ระบบเสียงตัวลำโพงเป็นแบบสเตอริโอที่ได้รับการปรับแต่งให้ได้เสียงที่ดังชัดเจน ลดเสียงรบกวนและเสียงสะท้อน ช่วยให้เสียงขับออกมาได้มากขึ้น และยังมีโหมด Ultra Volume ช่วยให้คุณปรับระดับเสียงลำโพงเพิ่มเป็น 200% ได้เสียงที่ดังกระหึ่มมากขึ้นโดยที
ColorOS 13.1
ระบบปฏิบัตการเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของทางออปโป้ ทำงานบนพื้นฐานของ Android 13 ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด รองรับการทำงานกับ Google Mobile Service ได้อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกับมีฟีเจอร์หลากหลายช่วยให้การใช้งานสมาร์ตโฟนได้ประสบการณ์อย่างดีเยี่ยม
- Smart Always-On Display ด้วยหน้าจอที่เป็น AMOLED ทำให้การแสดงข้อมูลบนหน้าจอในขณะล็อคเครื่องสามารถใช้ได้มากกว่าแค่ดูนาฬิกาหรือแจ้งเตือน ยังสามารถใช้ควบคุมเพลงใน Spotify หรือดูข้อมูลจากแอปที่รองรับได้โดยไม่ต้องปลดล็อคเครื่อง
- IR Remote Control เป็นครั้งแรกในสมาร์ตโฟน OPPO ที่ให้ฟีเจอร์นี้มา เราสามารถสร้างโปรไฟล์ของรีโมทคอนโทรลเพื่อควบคุมอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน อย่างเช่น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ กล่องรับสัญญาณ ฯลฯ ผ่านจากสมาร์ตโฟนได้โดยตรง
- เชื่อมต่อกับ OPPO Enco Air3 Pro หูฟังไร้สายอัจฉริยะ ที่เพียงแค่คุณลงทะเบียน Heytap ในอุปกรณ์ต่างๆ ก็จะสามารถสลับเปลี่ยนการเชื่อมต่อหูฟังได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่เปิดฝาเคสหูฟัง
- Auto Pixelate เป็นการใช้ AI ช่วยเบลอซ่อนภาพ, ข้อความ หรือข้อมูลที่อาจจะเป็นความส่วนตัว เวลาที่เราแคปหน้าจอแชทสนทนา เพื่อให้เวลานำไปแชร์ต่อ จะได้ไม่เผลอเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นส่วนตัวได้
- การรับรองความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ให้คุณมั่นใจได้เพราะอุปกรณ์ของ OPPO ได้ผ่านการทดสอบและ ได้รับการรับรองความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวจากองค์กรภายนอกที่ได้รับอนุญาตอย่าง ISO27001, ISO27701, ePrivacy, TRUSTe ฯลฯ
OPPO Reno10 Pro 5G
OPPO Reno10 Pro 5G เป็นรุ่นที่มีปรับเพิ่มในด้านประสิทธิภาพในหลายจุด ทั้งในเรื่องของสเปคภายใน รวมถึงระบบของกล้อง ให้มีความโปรมากขึ้น ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การรีวิว เรามีสรุปสเปคมาให้เรียบร้อยแล้ว
สเปค OPPO Reno10 Pro 5G
- ขนาด 162.3 x 74.2 x 7.89 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 185 กรัม
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว 3D Curved
- แสดงสี 1 พันล้านสี รองรับ HDR10+ 100% DCI-P3
- 120 Hz Ultra High Refresh Rate, 240 Hz touch sampling rate
- สัดส่วน 20.1:9 (2412 x 1080) 394ppi
- ขนาดจอต่อตัวเครื่อง 93%
- ความสว่าง 500 nits (ใช้งานกลางแจ้ง 800 nits, HDR 950 nits)
- ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 778G 5G Mobile Platform (6nm) 8-core
- GPU Adreno 642L
- 12GB RAM รองรับ RAM Expansion 4GB, 8GB, 12GB
- 256GB ROM
- ระบบปฏิบัติการ ColorOS 13.1 บนพื้นฐาน Android 13
- แบตเตอรี่ 4,600mAh
- ระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC พร้อมชิปควบคุมการชาร์จ SUPERVOOC S
- กล้องหน้า 32MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX709 RGBW ออโต้โฟกัส
- รูรับแสง f/2.4 มุมมอง FOV กว้าง 90°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 21mm
- กล้องหลัง 3 เลนส์
- กล้องหลัก 50MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX890 OIS
- รูรับแสง f/1.8 PDAF
- มุมมอง FOV กว้าง 84.4°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 24mm
- กล้อง Telephoto Portrait 32MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 709 RGBW
- รูรับแสง f/2.0
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 47mm
- กล้อง Ultra Wide 8MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 355
- รูรับแสง f/2.2
- มุมมอง FOV กว้าง 112°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 16mm
- กล้องหลัก 50MP
- ลำโพงคู่สเตอริโอ
- รองรับ 5G (2 ซิม Nano SIM Dual Standby)
- Wi-Fi 6, Wi-Fi 5 (2×2 MIMO, MU-MIMO)
- การเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.3, NFC, IR Blaster
- พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
- เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
- มีให้เลือก 2 สี Grossy Purple และ Silver Grey
กล้อง – Camera
OPPO Reno10 Pro 5G ใช้เป็นระบบ กล้อง Ultra Clear Portrait Camera แบบ 3 เลนส์เช่นกัน ประกอบด้วย
- กล้องหลัก 50MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX890 OIS
- รูรับแสง f/1.8 PDAF
- มุมมอง FOV กว้าง 84.4°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 24mm
- กล้อง Telephoto Portrait 32MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 709 RGBW
- รูรับแสง f/2.0
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 47mm
- กล้อง Ultra Wide 8MP
- เซ็นเซอร์ Sony IMX 355
- รูรับแสง f/2.2
- มุมมอง FOV กว้าง 112°
- เทียบเท่าทางยาวโฟกัส 16mm
จะเห็นว่ามีจุดที่แตกต่างคือ ตัวกล้องหลักจะเป็นกล้องหลัก 50MP Ultra-Clear Main Camera ใช้เป็นเซ็นเซอร์แฟลกชิป Sony IMX890 ขนาดใหญ่ 1/1.56 นิ้ว มีพิกเซลขนาด 2.0μm แบบ 4-in-1 ช่วยให้เก็บรายละเอียดของแสงได้มากขึ้น และเพิ่มความคมชัดของภาพ อีกทั้งยังรองรับกันสั่น OIS และ All Pixel Omni-Direction PDAF เพิ่มความเสถียรและช่วยกันสั่นไหวของภาพได้ดียิ่งขึ้น
ตัวกล้อง Telephoto Portrait 32MP ถือว่ายังเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ ที่สามารถซูมออปติคอล 2 เท่าพร้อมเซ็นเซอร์ภาพประสิทธิภาพสูง ช่วยให้การถ่ายพอร์ตเทรตได้ในระยะ Focal Lengths ที่มีทางยาวโฟกัส 47 มิลลิเมตร เก็บภาพถ่ายพอร์ตเทรตที่มีฉากหลังเบลอสวยงาม และอยู่ใกล้กับแบบมากกว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ให้มุมมองอารมณ์เดียวกับการถ่ายพอร์ตเทรตด้วยเลนส์ 50 มิลลิเมตรแบบกล้องโปร
พร้อมกับฟีเจอร์ลูกเล่นในการถ่ายพอร์ตเทรตต่างๆ ก็มีมาให้ครบเช่นกัน ทั้งการปรับค่ารูรับแสงเพื่อให้ได้เอฟเฟ็กต์เบลอฉากหลังที่แตกต่างกัน Bokeh Flare สร้างวงโบเก้ดวงไฟในฉากหลังได้เหมือนใช้เลนส์กล้องมืออาชีพ และ AI Color Portrait ลูกเล่นปรับฉากหลังให้เป็นสีขาวดำ เพื่อให้แบบที่ด้านหน้ามีสีสันโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่ จะมีสเปคที่แตกต่างจาก OPPO Reno10 5G ยกระดับความโปรขึ้นอีกขั้นด้วยกล้อง 32MP Ultra-Clear Selfie Camera ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX709 แบบ RGBW ช่วยให้การเซลฟี่ทำได้ดีในทุกสภาพแสง เพิ่มเติมด้วยระบบ Autofocus ใช่แล้วครับ กล้องหน้าสามารถปรับโฟกัสได้ ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของใบหน้า
แถมยังสามารถปรับระยะซูมเข้าได้สูงสุด 2 เท่า และปรับให้เป็นมุมกว้าง 0.8x ได้ด้วย ช่วยให้เก็บมิติในการเซลฟี่ที่มากกว่าสมาร์ตโฟนทั่วไป
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ OPPO Reno10 Pro 5G
Design – การออกแบบ
รูปร่างหน้าตาของ OPPO Reno10 Pro 5G ต้องบอกว่ามีความเหมือนกับ OPPO Reno10 Pro 5G แทบจะทุกประการ ตั้งแต่การจัดวางชุดโมดูลกล้องทรงแคปซูลแบบ Custom Camera Metrix วางเรียงกล้อง 3 เลนส์เชื่อมต่อกัน แยกออกเป็น 2 ส่วนแบบทูโทน โดยที่ตัวเครื่องจะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 2 สี คือ สีม่วง Glossy Purple และ สีเทา Silvery Grey
สีม่วง Glossy Purple เป็นสีใหม่ระดับพรีเมียมสำหรับ Reno Series ใช้โทนสีม่วงเมทัลลิคที่มีความมันวาว ดูหรูหรา สัมผัสเวลาจับยังคงมีความละมุนนิ้ว
สีเทา Silvery Grey เป็นสีดำที่ไม่ดำสนิท ด้วยกระบวนการ OPPO Glow ที่มีโครงสร้างผลึกขนาดเล็กบนพื้นผิว จึงได้ความรู้สึกคล้ายกับโลหะที่มีมิติสวยงาม และเป็นผิวสัมผัสแบบด้าน
ดีไซน์ตัวเครื่องเป็นแบบ 3D Curved ของหน้าจอที่มีขอบข้างโค้ง 56 องศา และฝาหลังขอบข้างโค้งแบบ 3D มาพร้อมกับความเบาเพียง 185 กรัม และตัวเครื่องที่บางแค่ 7.89 มิลลิเมตร
ส่วนตัวหน้าจอของ OPPO Reno10 Pro 5G รวมถึงตำแหน่งของปุ่มกด, พอร์ต และถาดซิมนั้นจะเหมือนกับ OPPO Reno10 5G ทุกประการ สรุปคือ ทั้งสองรุ่นนี้หน้าตาเหมือนกันเป๊ะ ต่างกันแค่สีที่มีให้เลือกไม่เหมือนกัน และตัวเครื่องของ OPPO Reno10 Pro 5G จะมีความบางกว่าเล็กน้อย
ประสิทธิภาพ – Perfomance
สเปคภายในของ OPPO Reno10 Pro 5G จะอัปเพิ่มขึ้นมาให้แรงขึ้นกว่ารุ่นเริ่มต้น ด้วยชิปเซ็ตที่ใช้เป็น Qualcomm Snapdragon 778G 5G Mobile Platform ที่ใช้สถาปัตยกรรมการผลิตระดับ 6 นาโนเมตร ใช้ซีพียูแบบ 8 คอร์ และหน่วยประมวลผลกราฟิค เป็น Adreno 642L ถือว่าเป็นชิปเซ็ตแบบ SoC สำหรับสมาร์ตโฟนระดับกลางที่เด่นทั้งเรื่องประสิทธิภาพโดยที่ประหยัดพลังงาน
พร้อมกันนี้ภายในยังเพิ่ม ระบบ Ultra-Conductive Cooling แบบ Vapor Chamber ขนาดใหญ่ ระบายความร้อนด้วยของเหลว เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในระหว่างทำงานให้น้อยลง ช่วยเพิ่มความเสถียรระหว่างการทำงานที่ใช้กำลังหนักๆ อย่างการเล่นเกมให้ไหลลื่น ไม่มีสะดุด
ROM ที่เป็นพื้นที่เก็บข้อมูล ให้มา 256GB เท่ากับรุ่นเริ่มต้น แต่ส่วนของ RAM จะให้มามากกว่าที่ 12GB และรองรับการใช้งานโหมด RAM Expansion เปลี่ยนพื้นที่บน ROM ที่ไม่ได้ใช้งานมาเป็น RAM ชั่วคราว โดยเลือกปรับใช้ได้ตั้งแต่ 4GB , 8GB และ 12GB เพื่อให้ทำงานได้ลื่นไหลอย่างต่อเนื่องได้ดีขึ้น
อีกทั้งยังมี Dynamic Computing Engine ที่ทาง OPPO พัฒนาร่วมกับทาง Google เป็นระบบที่มาช่วยจัดการหน่วยความจำในการทำงานได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น โดยจะมาช่วยเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงหน่วยความจำในเครื่อง ที่ปรับได้แบบไดนามิกสูงสุดถึง 16 เท่าของความจุก่อนหน้านี้ ส่งผลให้สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้น การใช้งานแอปที่ต้องโหลดหนักๆ ก็ยังทำงานได้ราบรื่น ด้วยการตั้งเวลาและการจัดสรรหน่วยความจำใหม่ ทำให้ OPPO Reno10 Pro 5G สามารถใช้งานแอปพร้อมกันได้สูงสุดถึง 44 แอป
แบตเตอรี่ใน OPPO Reno10 Pro 5G ให้ความจุมาที่ 4,600mAh อาจจะน้อยกว่ารุ่นเริ่มต้น แต่ก็มีให้ระบบชาร์จที่เร็วกว่า ด้วย 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จเต็ม 0-100% ได้ภายในเวลาเพียงแค่ 28 นาทีเท่านั้น และถ้าเสียบชาร์จแค่ 10 นาที ก็ได้แบตเตอรี่ถึง 48%
และยังมีความพิเศษกับ ชิปการจัดการพลังงาน SUPERVOOC S ที่นำมาใช้ในสมาร์ตโฟน Reno Series เป็นครั้งแรก โดยที่ชิปตัวนี้จะรวม 6 ฟังก์ชันด้านระบบพลังงาน ได้แก่ การชาร์จ, การคายประจุ, การถอดรหัส, การรีเซ็ต, การป้องกันแบตเตอรี่ และเบรกเกอร์ ทั้งหมดถูกรวมเอาไว้ในชิปเดียว ทำให้การชาร์จทำได้รวดเร็วถึง 45% รวมถึงังเพิ่มประสิทธิภาพการคายประจุแบตเตอรี่เป็น 99.5%
สรุป รีวิว OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G รุ่นไหนเหมาะกับใคร?
รีวิว ครั้งนี้ทีมงานล้ำหน้าฯ เราได้ทดสอบลองใช้งาน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G แบบเต็มๆ เป็นเวลาประมาณเกือบ 2 สัปดาห์ ต้องยอมรับเลยว่าสร้างความพึ่งพอใจในการใช้งานแบบไม่ผิดหวัง ด้วยความเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลาง ที่อยู่ในงบราคาหมื่นกว่าบาท ไม่เกิน 2 หมื่นบาท ทั้งสองรุ่นนี้ตอบโจทย์ได้ดีในทุกๆ ด้าน
ตั้งแต่เรื่องของดีไซน์ที่สวยพรีเมียมสไตล์มือถือเรือธง ทั้งการเล่นเฉดสีตัวเครื่อง การวางตำแหน่งโมดูลกล้องที่ให้อารมณ์เรียบๆ แต่ก็มีรายละเอียดเล็กน้อยทำให้ดูออกมาโดยรวมแล้วมีเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์แบบฉบับของ OPPO โดยเฉพาะสีใหม่ สีม่วง Glossy Purple ใน OPPO Reno10 Pro 5G ที่แม้ว่าจะมีความมันวาวแต่การจับแล้วมีรอยนิ้วมือขึ้นค่อนข้างน้อย รวมถึงการเล่นขอบโค้งทั้งหน้าจอและฝาหลัง ยิ่งช่วยขับภาพลักษณ์ให้ตัวเครื่องดูบางเฉียบมากขึ้น พร้อมกับน้ำหนักแค่ 185 กรัม น่าจะถูกใจสาวๆ ที่ไม่ชอบถือสมาร์ตโฟนเครื่องหนักๆ ให้เมื่อยมือ
หน้าจอทั้ง 2 รุ่นเป็น AMOLED สเปกดีสมราคา สีสันสดใสและค่ารีเฟรชเรต 120Hz ที่ดีทั้งเวลาใช้งานและเล่นเกม ดูไหลลื่นเนียนตา รวมถึงค่าความสว่างที่สามารถใช้งานกลางแจ้งก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน ถูกใจทั้งสายเกมเมอร์และคนดูหนังดูซีรีย์ได้แบบอิ่มเอม
แบตเตอรี่ทำได้ดีทั้ง 2 รุ่น ขนาดความจุให้มาเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปตั้งแต่เช้ายันเย็นได้แบบไม่ต้องกังวลเครื่องดับวูบไปก่อนจะกลับถึงบ้านในตอนเย็น รวมกับระบบชาร์จไว 67W SUPERVOOC และ 80W SUPERVOOC ก็ช่วยให้เสียบชาร์จด่วนๆ ไม่กี่นาทีก็ได้แบตเตอรี่เติมกลับมาเพียบ
มาถึงเรื่องของกล้อง พระเอกของปีนี้คือกล้อง 32MP Telephoto Portrait Camera ที่ตามปกติแล้วกับสมาร์ตโฟนกลุ่มราคาระดับกลาง แทบจะไม่มีกล้องเลนส์เทเลโฟโต้มาให้ แล้ว OPPO ก็ไม่ได้เอามาเน้นซูมไกล ซูมไปดวงจันทร์ แต่เอามาใช้กับการถ่ายพอร์ตเทรต อันเป็นฟีเจอร์หลักที่แฟนๆ Reno Series หลงไหลมานาน
สำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพหรือตากล้องสายถ่ายบุคคล จะรู้ว่าระยะเลนส์ที่เหมาะสำหรับการถ่ายพอร์ตเทรตนั้นคือ 50mm เพราะฉากหลังที่อยู่ไกล จะมีมุมมองที่ใกล้กับตัวแบบที่เป็นบุคคลด้านหน้ามากกว่าที่เป็นระยะมุมกว้าง อย่าง 35mm แล้วตัว Telephoto Portrait Camera ที่เป็นระยะประมาณ 24mm พอกดซูม 2 เท่า ก็จะได้ระยะที่ 47mm ที่ใกล้เคียงกับ 50mm
พอได้ระยะทางยาวโฟกัสแบบออปติคอลที่เหมาะสม บวกกับเซ็นเซอร์ความละเอียดสูงถึง 32MP และเป็นแบบ RGBW รวมกับระบบ AI Portrait ของ OPPO ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภาพที่ได้จึงมีความสวยงามต่างจากการถ่ายภาพพอร์ตเทรตบนสมาร์ตโฟนที่เคยมีก่อนหน้านี้
ตัวแบบจะมีความสวยงามของใบหน้าที่ชัดเจน สกินโทนที่ได้รับการปรับแต่งให้เป็นธรรมชาติและเหมาะกับแต่ละบุคคล การเบลอขอบของเส้นผมและตัวคนแยกออกมาจากฉากหลังมีความนุ่มนวลใกล้เคียงกับการถ่ายด้วยกล้องจริง ส่วนการเบลอของฉากหลักก็ทำได้ดี เลือกปรับได้ตามขนาดค่ารูรับแสงและฟีเจอร์เจ๋งๆ อย่าง Bokeh Flare และ AI Portrait ก็ทำให้ได้ภาพที่สวยเก๋เท่ไม่เหมือนใคร
สรุปชัดกับ 2 รุ่นนี้ จะเลือกรุ่นไหนดี? ล้ำหน้าโชว์เราแนะนำเลยว่า ถ้าคุณมองหาสมาร์ตโฟนเน้นถ่ายรูปพอร์ตเทรตสวย ดีไซน์สวยบางเบาถือสะดวก จอสวยชัด แบตอึดใช้งานได้ทั้งวัน ชาร์จไวไม่ต้องรอนาน OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ทั้งสองรุ่นนี้ “น่าใช้ทั้งคู่”
แต่ถ้าอยากให้สุดเรื่องของถ่ายภาพ โดยเฉพาะการถ่ายเซลฟี่ ตัว OPPO Reno10 Pro 5G ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะกว่า ส่วนใครที่อยากจัดเต็มสเปคแรงสำหรับเล่นเกมหนักๆ จะมีอีกรุ่นคือ OPPO Reno10 Pro+ 5G ที่จะให้สเปคชิปเซ็ตที่แรงสุดอย่าง Snapdragon 8+ Gen 1 รวมถึงตัวกล้องที่ยกระดับการถ่ายขึ้นไปเทียบเท่ารุ่นเรือธงกันเลยทีเดียว
OPPO Enco Air3 Pro
ล้ำหน้าโชว์ เรามี รีวิว แถมเพิ่มกับอีกสิ่งที่เปิดตัวมาพร้อมกับ OPPO Reno10 5G และ OPPO Reno10 Pro 5G ก็คือ OPPO Enco Air3 Pro หูฟังไร้สายรุ่นยอดนิยมที่มีการพัฒนานวัตกรรมด้านเสียงที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการใช้ไดอะแฟรมที่ทำมาจากวัสดุใยไผ่ธรรมชาติเป็นรุ่นแรกของโลก รองรับ LDAC ให้คุณภาพเสียงระดับสูง และ ANC ตัดเสียงรบกวนรอบข้างแบบปรับได้ 49dB พร้อมด้วยฟีเจอร์อัจฉริยะ OPPO Alive Audio, Golden Sound 2.0 อายุการใช้งานแบตเตอรี่สูงสุด 30 ชั่วโมง ให้คุณสัมผัสประสบการณ์เสียงระดับพรีเมียมได้ในราคาที่จับต้องได้
ไดอะแฟรมทำจากใยไผ่ ดียังไง?
ออปโป้นำเอาวัสดุที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะเอามาใช้ในหูฟังได้อย่างเส้นใยไม้ไผ่ ด้วยแรงบันดาลใจจากกระบวนการผลิตกระดาษไม้ไผ่ในสมัยโบราณ นำเอาเส้นใยไม้ไผ่มาอัดเป็นเกล็ดใยใผ่ให้มีความหนาที่สม่ำเสมอและทนทาน จากน้ั้นก็นำมาขึ้นรูปเป็นไดอะแฟรมภายในหูฟัง OPPO Enco Air3 Pro
ผลจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ เมื่อเทียบกับไดอะแฟรมที่เคลือบไททาเนียมที่นิยมใช้ทั่วไป พบว่าไดอะแฟรมที่ทำจากเส้นใยไม้ไผ่ มีคุณสมบัติในการคืนเสียงที่เป็นธรรมชาติได้ดีกว่า โดยเฉพาะในช่วงความถี่สูง ทำให้ได้เสียงที่นุ่มนวลมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ไดอะแฟรมที่ทำจากเส้นใยไม้ไผ่ยังมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าไดอะแฟรมเคลือบไททาเนียมอีกหลายอย่าง
- น้ำหนักเบากว่าถึง 60% ช่วยให้ไดอะแฟรมสามารถขับเคลื่อนได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเสียงได้เร็วขึ้น
- แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 56% ทำให้ทนต่อการเสียรูปอยู่สูงกว่า 50Hz ซึ่งไกลกว่าระยะได้ยินของหูมนุษย์
- กันกระแทกภายในที่มากกว่า ยืนหยุ่นมากกว่า 63% ส่งผลให้ไดอะแฟรมฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ตัวช่องเสียงภายในออกแบบด้วยนวัตกรรมใหม่ ช่องเสียงด้านหน้าจัดวางได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถให้เสียงความถี่สูงที่เป็นธรรมชาติและชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนช่องเสียงด้านหลังก็ออกแบบคอนเดนเซอร์ให้เสียงเบสอย่างมีน้ำหนัก ให้เสียงที่มีชีวิตชีวามากขึ้น
OPPO Enco Air3 Pro รองรับการส่งสัญญาณเสียงแบบ LDAC ผ่าน Bluetooth ได้สัญญาณเสียงระดับ Hi-Res Audio ที่ดีสูงสุดถึง 990kbps คมชัดกว่าการเข้ารหัส SBC แบบเดิมถึง 3 เท่า รองรับใช้งานกับสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการเป็น Android 8 ขึ้นไป
OPPO Enco Air3 Pro จะมีให้เลือกด้วยกัน 2 สีคือ สีขาว และ สีเขียว การออกแบบตัวเคสชาร์จะมีการเล่นระดับสีที่คล้ายกับก้อนเมฆบนท้องฟ้า มีการปรับปรุงบางจุดจากรุ่นก้อน ด้วยความยาวของก้านหูฟังที่สั้นลง 6% ทำให้มีความกะทัดรัดมากขึ้น ส่วนตัวเคสชาร์จเองก็เล็กลง 3.8% มีขนาดที่พอเหมาะกับฝ่ามือมากขึ้น โดยที่ตัวหูฟังยังได้มาตรฐานกันฝุ่นกันน้ำที่ IP55 ใช้สวมใส่ระหว่างออกกำลังกายได้อย่างไม่มีปัญหา
หูฟังเป็นทรงแบบ Earbud ที่เป็นจุกยางสวมอุดหูเพื่อความกระชับ ตัวหูฟังจะมีน้ำหนักเพียง 4.3 กรัมต่อข้าง และเมื่อเก็บในเคสจะมีน้ำหนักรวม 47.3 กรัม มีพอร์ตชาร์จเป็น USB-C
การใช้งานแบตเตอรี่สามารถรับฟังต่อเนื่องสูงสุด 7 ชั่วโมง และเมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จจะใช้ได้ถึง 30 ชั่วโมง และยังรองรับการชาร์จไวให้คุณฟังเพลงได้นาน 2 ชั่วโมงด้วยการเก็บใส่เคสแล้วชาร์จเพียงแค่ 10 นาที
การใช้งานเชื่อมต่อทำได้ง่ายและรวดเร็ว รองรับมาตรฐาน Bluetooth 5.3 ที่มีความหน่วงต่ำ ดูหนังหรือเล่นเกมได้โดยที่เสียงกับภาพไม่ดีเลย์ และยังรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ 2 เครื่องพร้อมกันและกดสลับใช้งานกับแต่ละเครื่องได้อัตโนมัติ รองรับการใช้งานได้ทั้งสมาร์ตโฟน OPPO ที่ใช้ ColorOS 11.0 หรือใหม่กว่า การเชื่อมต่อก็ทำได้รวดเร็ว แค่เปิดฝาเคสก็จะมี Pop Up ขึ้นมาบอกที่หน้าจอมือถือทันที
ส่วนใครที่ใช้สมาร์ทโฟนระบบ Android ยี่ห้ออื่นๆ หรือใช้ iOS สามารถใช้งานผ่านแอป HeyMelody เพื่อกำหนดค่าการใช้งาน
ฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจใน OPPO Enco Air3 Pro
- Golden Sound 2.0 ปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมกับช่องหูที่แตกต่างกันในผู้ใช้ เพื่อให้ได้เสียงที่เหมาะกับหูของแต่ละคนได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
- OPPO Alive Audio ช่วยสร้างเอฟเฟกต์เสียงรอบทิศทาง ให้คุณได้บรรยากาศเหมือนเสียงโอบล้อมรอบตัวเรา
- EncoMaster EQ รองรับการสลับระหว่างการปรับจูนล่วงหน้า 3 รายการ คือ เสียงต้นฉบับ เพิ่มเสียงเบส และเสียงแบบธรรมชาติ
- ANC ตัดเสียงรบกวนรอบข้างได้ 49dB ให้คุณฟังเพลงได้เต็มอิ่มมากขึ้น โดยเลือกปรับได้ 3 รูปแบบคือ
- แบบแข็งแกร่ง สำหรับเวลาเดินทางบนรถไฟฟ้า ใ
- Balance เหมาะสำหรับบนท้องถนน ร้านอาหาร ร้านกาแฟ
- เล็กน้อย สำหรับใช้ในสำนักงาน ห้องสมุด หรือห้องนอน
- มีโหมด Transparency ที่จะเปิดเสียงจากภายนอกเข้ามาในหูฟัง ทำให้สนทนาหรือได้ยินเสียงรอบข้างได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง
- ตัดเสียงรบกวนแบบ AI แบบไมค์คู่สำหรับการสนทนา ทำให้ในการพูดคุยกับคู่สายจะได้ยินเสียงของเราได้ชัดเจนมากขึ้น และมีเสียงรบกวนจากรอบข้างน้อยที่สุด
ราคา โปรโมชัน ของ OPPO Reno10 5G, OPPO Reno10 Pro 5G และ OPPO Enco Air3 Pro
เปิดตัวพร้อม ราคา OPPO Reno10 Series 5G สมาร์ตโฟน 5G กับพลังแห่ง “The Portrait Expert”
- OPPO Reno10 5G ราคา 13,990 บาท
- OPPO Reno10 Pro 5G ราคา 17,990 บาท
- OPPO Reno10 Pro+ 5G ราคา 27,990 บาท
- OPPO Enco Air3 Pro ราคา 2,999 บาท
พิเศษสุด! สำหรับผู้ที่สั่งซื้อ OPPO Reno10 Series 5G ล่วงหน้าระหว่างวันนี้ – 26 กรกฎาคม 2566 รับฟรีทันทีของสมนาคุณรวมมูลค่าสูงสุด 12,698 บาท ประกอบไปด้วย
- Camping Chair มูลค่า 1,499 บาท
- OPPO E-VIP Card มูลค่าสูงสุด 10,000 บาท
- OPPO Band มูลค่า 1,199 บาท
และเป็นเจ้าของ OPPO Reno10 Series 5G ได้ง่ายขึ้นเมื่อซื้อกับผู้ให้บริการเครือข่ายรับส่วนลดสูงสุด 8,100 บาท โดย OPPO Reno10 Series 5G จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการพร้อมกันวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ณ OPPO Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่https://www.facebook.com/oppothai/