วันนี้ทาง Disney+ Hotstar รวบรวมข้อมูลสำคัญ ปูพื้นฐานความรู้ ก่อนดูซีรีส์ออริจินัล FX’s Shōgun มีที่มาเป็นอย่างไร พร้อมเกร็ดน่าสนใจ ก่อนสตรีมสองตอนแรกบน Disney+ Hotstar ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้
เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นชินกับคำว่า “โชกุน” เป็นอย่างดี ในฐานะแม่ทัพใหญ่ หรือผู้บัญชาการทหารสูงสุดในญี่ปุ่นช่วงยุคสมัยซามูไรที่มีชื่อเสียงทั่วโลก โดยมีทั้งหนัง เพลง เกม ภาพยนตร์ หนังสือ และสื่ออื่น ๆ มากมายนำคำว่าโชกุน หรือความเป็นโชกุนมาใช้ เช่นเดียวกันกับวรรณกรรมขายดี Shōgun ของ James Clavell ที่เล่าถึงเรื่องราวในญี่ปุ่นช่วง ค.ศ. 1600 ที่โด่งดังเหนือกาลเวลา จนล่าสุดทาง FX Productions ผู้ผลิตสัญชาติอเมริกา ได้หยิบวรรณกรรมดังกล่าวมาดัดแปลง นำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์พลิกประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นจากมุมมองของชาวตะวันตก ให้กำเนิดซีรีส์ออริจินัลฟอร์มยักษ์FX’s Shōgun สร้างโดย Rachel Kondo และ Justin Marks (Top Gun: Maverick) ถ่ายทอดโดยนักแสดงฮอลลีวูดระดับแนวหน้าของวงการและทัพนักแสดงชาวญี่ปุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโปรดักชันอเมริกัน FX’s Shōgun พร้อมดึงดูดผู้ชมทั่วโลกด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ตัวละครหลายมิติ และวิธีการนำเสนอระบบศักดินาในสังคมญี่ปุ่นโบราณในมุมมองของชาวตะวันตก แต่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่น
FX’s Shōgun เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นกับปมศึกแย่งชิงตำแหน่งโชกุน
FX’s Shōgun ได้ดัดแปลงเหตุการณ์ในวรรณกรรมชื่อดังของ James Clavell นำเสนอเรื่องราวผ่านมุมมองของ “จอห์น แบล็กธอร์น” นักเดินเรือชาวอังกฤษผู้ซึ่งเรืออับปางบนชายฝั่งญี่ปุ่น ทำให้เขาต้องเผชิญกับระบบศักดินาในสังคมญี่ปุ่น ในขณะเดียวกัน แบล็กธอร์น ยังต้องต่อสู้กับอัตลักษณ์และความจงรักภักดีของตนเองในดินแดนที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากบ้านเกิดของเขาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งการเดินทางของ แบล็กธอร์น ทำให้โชคชะตาของเขาผูกพันกับ “โยชิอิ โทรานางะ” ไดเมียวที่ต้องอาศัยไหวพริบและเล่ห์เพทุบายเพื่อเอาตัวรอดจากศัตรูที่ล้อมรอบตัวเขา และ “โทดะ มาริโกะ” ล่ามหญิงสาวชาวคริสต์ ที่เคยมีเกียรติสูงสุดแต่วันนี้กลับเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของตระกูลที่เสื่อมเสีย
โดยในขณะที่เรื่องราวของแบล็กธอร์น เริ่มคลี่คลายในทีละตอน ผู้ชมจะรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปในโลกที่เปี่ยมด้วยความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ความรักต้องห้าม และการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่เพื่อแย่งชิงอำนาจสูงสุดเพื่อจะขึ้นเป็นโชกุน
รู้จักคำศัพท์สำคัญก่อนดู FX’s Shōgun
ความโดดเด่นของ FX’s Shōgun คือการยึดมั่นในความสมจริงในทุกประการ ซึ่งนั่นรวมไปถึงการใช้คำศัพท์เฉพาะของญี่ปุ่นที่ยังคงมีให้ได้ยินกันเรื่อย ๆ ทั้งคำศัพท์ใช้เรียกยศตำแหน่งต่าง ๆ ไปจนถึงคำศัพท์จำเพาะในราชสำนัก FX’s Shōgun จะนำพาผู้ชมดื่มด่ำไปกับขนบธรรมเนียมและประเพณีของระบบศักดินาญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่านอกจากจะมี “จักรพรรดิ” ผู้ซึ่งแต่งตั้ง “โชกุน” (จอมทัพ) แล้ว ยังมีคำศัพท์ใช้เรียกผู้ที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของโชกุน อาทิ “ไดเมียว” (ผู้ปกครองแคว้น) และซามูไร หรือยอดนักรบชนชั้นขุนนางของญี่ปุ่นที่คอยรับใช้ไดเมียวและจักรพรรดิ นอกจากนี้ ยังมีคำศัพท์สำคัญอื่น ๆ เช่น “อันจิน” (ตำแหน่งต้นหน) “ชิโนบิ” (นักรบท้องถิ่น ปัจจุบันเรียก “นินจา”) “เอโดะ” (ชื่อเดิมของโตเกียว) และ “เซ็ปปูกุ” ซึ่งคือวิธีการฆ่าตัวตายของชนชั้นซามูไรในญี่ปุ่นสมัยโบราณโดยใช้มีดสั้นแทงที่หน้าท้องใต้เอวขวา แล้วกรีดมาทางซ้าย แล้วดึงมีดขึ้นข้างบน
ซึ่งการเปิดรับความแตกต่างทางภาษาในโลกของ FX’s Shōgun เป็นการเสริมความเข้าใจและเพิ่มคุณค่าให้กับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ให้ผู้ชมทั้งคนที่เป็นแฟนตัวยงหรือมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเสพเนื้อหาแนวประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ได้รู้สึกมีส่วนร่วมกับเนื้อเรื่องอย่างเต็มที่
การรวมตัวของนักแสดงญี่ปุ่นครั้งประวัติการณ์ในซีรีส์ฝรั่ง
สำหรับ FX’s Shōgun ได้ทีมงานระดับโลกของ FX Productions นำวรรณกรรมชื่อดัง Shōgun ของ James Clavell มาดัดแปลง.ในรูปแบบซีรีส์ ผ่านศิลปะการแสดงของนักแสดงนำระดับแนวหน้าในวงการฮอลลีวูดอย่าง Hiroyuki Sanada (Last Samurai, 47 Ronin, John Wick 4)ที่ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ของซีรีส์และบทนำเป็น “โยชิอิ โทรานางะ” รวมถึง Cosmo Jarvis (Lady Macbeth, Persuasion, Peaky Blinders) ในบทบาท “จอห์น แบล็กธอร์น” และ Anna Sawai (Ninja Assassin, Fast & Furious 9, Giri/Haji) ในบทบาท “โทดะ มาริโกะ” นอกจากนี้ ยังขนทัพนักแสดงญี่ปุ่นมากฝีมือ รวมไปถึง Tadanobu Asano (Thor, The Outsider, Ichi the Killer)ในบทบาท “คาชิกิ ยาบุชิเกะ” และ Takehiro Hira (Snake Eyes, Ace Attorney, The Floating Castle) ในบทบาท “อิชิโดะ คาซูนาริ” มาร่วมแสดงด้วยเช่นกัน
โปรดักชั่นสุดอลังการด้วยฝีมือทีมงานดีกรีรางวัล
ซีรีส์ออริจินัล FX’s Shōgun สร้างโดย Rachel Kondo และ Justin Marks (Top Gun: Maverick)รวมถึง Helen Jarvis ผู้ออกแบบงานสร้างที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Excellence in Production Design Award เวทีรางวัลสมาคมผู้กำกับศิลป์ (ADG: Art Directors Guild) สำหรับเรื่อง The Midnight Sky และ Maleficient: Mistress of Evil รวมถึงLauro Chartrand-Del Valle ผู้ควบคุมดูแลเรื่องสตั๊นท์ ที่มีประสบการณ์ในศิลปะการต่อสู้ ทั้งคาราเต้ การใช้อาวุธ และวิชาฟันดาบกว่า 25 ปี เจ้าของรางวัล Best Stunt Coordination in a Dramatic Series เวทีรางวัล Leo Awards สำหรับซีรีส์เรื่อง Prison Break และ Carlos Rosario ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายที่ประสบความสำเร็จในด้านแฟชั่นตั้งแต่วัยเด็ก จนได้มีโอกาสร่วมงานกับ Colleen Atwood เจ้าของ 4 รางวัล ออสการ์ ในการช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายในเรื่อง Sleepy Hollow, Chicago, A Series of Unfortunate Events และ Planet of the Apes
ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนเพื่อคงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่น
สำหรับงานโปรดักชั่นของ FX’s Shōgun มีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน เริ่มจากการคัดเลือกสถานที่ถ่ายทำที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา โดยเนื่องจากเหตุการณ์ทั้งหมดใน FX’s Shōgun เกิดขึ้นในยุคที่ยังไม่มีกล้องถ่ายภาพ ทีมงานจึงต้องลงแรงศึกษาข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ งานศิลปะ และนักสะสมของเก่า ในการประดิษฐ์ฉากต่าง ๆ ทั้ง ปราสาท ห้องนอน หมู่บ้าน สวน และที่อยู่อาศัยอื่น ๆ ให้ตรงสเปกและสมจริงตามแบบฉบับเมืองญี่ปุ่นในช่วง ค.ศ. 1600 อีกทั้งทีมคอสตูมยังยืนยันว่าชุดทั้งหมดในซีรีส์เป็นงานแฮนด์เมดเพื่อควบคุมกระบวนการการออกแบบเครื่องแต่งกาย ตั้งแต่การคัดเลือกผ้า สี และลวดลาย และในด้านของการแสดง ฉากฟันดาบใน FX’s Shōgun จะมีมากสุดเพียง 5 กระบวนท่าเท่านั้นเพื่อคงความโหดเหี้ยมของซามูไรที่เพียงต้องการฆ่าศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซึ่งทุกองค์ประกอบในซีรีส์ได้มีการตรวจสอบความถูกต้องโดยที่ปรึกษาชาวญี่ปุ่นผู้ซึ่งคุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเป็นอย่างดี เพื่อรังสรรค์ซีรีส์ที่คงเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นให้มากที่สุด เสมือนการยกเอาฉากและบรรยากาศการสู้รบของเหล่าซามูไรมานำเสนออย่างสมจริง
ซีรีส์ออริจินัล FX’s Shōgun ผสมผสานงานโปรดักชั่นสุดอลังการ เนื้อเรื่องสุดเข้มข้นที่ยากจะละสายตา และตัวละครหลายมิติที่ชักชวนให้ลุ้นว่าชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พร้อมแทรกซึมความสมจริงเข้าไปในทุกองค์ประกอบ เตรียมติดตามชมสุดยอดกลยุทธ์ศึกชิงอำนาจโชกุนได้ในซีรีส์ FX’s Shōgun พร้อมสตรีมสองตอนแรกบน Disney+ Hotstar 27 กุมภาพันธ์นี้
