AION ES แท็กซี่ไฟฟ้า ยุคใหม่ ประหยัดค่าใช้จ่าย ขับง่าย สะดวกสบาย ตอบโจทย์ทั้งคนขับและผู้โดยสาร มาดูกันว่าดีกว่ารถแท็กซี่แบบเดิมๆ ยังไงบ้าง
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นทางออกที่หลายประเทศให้ความสนใจ ประเทศไทยก็เช่นกัน โดยเฉพาะในภาคขนส่งสาธารณะ
ล่าสุด บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเสนอ AION ES รถยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อเป็นแท็กซี่โดยเฉพาะ แต่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนขับและผู้โดยสารได้จริงหรือไม่? มาดูกันว่าผู้ใช้งานจริงมีความเห็นอย่างไร
AION ES เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบซีดานที่ ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) ได้เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในงาน Thailand International Motor Expo 2023 เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และได้เสียงตอบรับที่ดีจากบริษัทผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะ รวมถึงผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยในปัจจุบันมีรถยนต์ไฟฟ้า AION ES มากกว่า 1,000 คัน เริ่มให้บริการแล้วทั่วประเทศไทย
ประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริงหรือ?
หนึ่งในข้อกังวลหลักของการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าคือเรื่องค่าใช้จ่าย แต่จากประสบการณ์ของ คุณถวัลย์ แตงเทศ ผู้ขับขี่ AION ES มาแล้วกว่า 3 เดือน พบว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงลงได้มากถึง 60% เมื่อเทียบกับรถยนต์ติดแก๊สคันเดิม โดยปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรเพียง 60-70 สตางค์เท่านั้น
นอกจากนี้ AION ES ยังสามารถวิ่งได้ไกลถึงประมาณ 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเพียงพอสำหรับการให้บริการในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจอดชาร์จระหว่างวัน ส่งผลให้รายได้ต่อวันเพิ่มขึ้น และมีเงินเหลือกลับบ้านมากกว่าเดิม
ความสะดวกสบายในการขับขี่
คุณรัฏฐกรณ์ นุ่มน้อย ผู้มีประสบการณ์ขับแท็กซี่มากว่า 14 ปี เผยว่า AION ES ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากรถยนต์สันดาปอย่างชัดเจน โดยไม่มีแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ ทำให้ลดความเหนื่อยล้าและความเครียดในการขับขี่ได้อย่างมาก
อีกทั้งยังไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นแก๊สที่อาจเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสาร ซึ่งเคยเป็นสาเหตุของอาการเวียนหัวและส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้ เบาะนั่งของ AION ES ยังออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระร่างกายได้ดี พร้อมพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะที่กว้างขวาง ทำให้การขับรถเป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมงไม่ทำให้เกิดอาการปวดหลังเหมือนรถคันอื่นๆ ที่เคยใช้งานมา
ประสิทธิภาพในการให้บริการ
คุณวิทยา บุตรศักดิ์ ผู้ขับขี่ AION ES อีกท่านหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า โดยเฉลี่ยแล้วคนขับแท็กซี่ในกรุงเทพมหานครต้องนั่งขับรถประมาณ 10-12 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่ง AION ES สามารถรับมือกับสภาพการจราจรที่ติดขัดได้ดีกว่ารถสันดาป โดยไม่มีปัญหาเรื่องอุณหภูมิเครื่องยนต์สูงเกินปกติ และระบบปรับอากาศก็ยังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยแก้ปัญหาการหาสถานีเติมแก๊สที่ยากและต้องรอคิวนาน ซึ่งเคยทำให้เสียเวลาและสูญเสียรายได้ในการรับผู้โดยสาร ทั้งยังเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ให้ดีขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนผู้โดยสารก็ชื่นชม AION ES ในแง่ของความกว้างขวาง ความสบาย และความเงียบของห้องโดยสาร รวมถึงพื้นที่เก็บสัมภาระที่กว้างขวาง สามารถบรรจุกระเป๋าโดยสารขนาดใหญ่ 24 นิ้วได้มากถึง 3 ใบ
สรุปข้อดี จุดเด่น ของ แท็กซี่ไฟฟ้า AION ES
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงได้มากถึง 60% เมื่อเทียบกับรถติดแก๊ส
- ค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรเพียง 60-70 สตางค์
- วิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
- ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาจอดชาร์จระหว่างวัน เพิ่มรายได้ต่อวัน
- ไม่มีแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ ลดความเหนื่อยล้าและความเครียดในการขับขี่
- ไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นแก๊สในห้องโดยสาร ปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว
- เบาะนั่งออกแบบรองรับสรีระร่างกายได้ดี ลดอาการปวดหลังจากการขับรถนาน
- พื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะกว้างขวาง
- ไม่มีปัญหาเรื่องอุณหภูมิเครื่องยนต์สูงเกินปกติในสภาพการจราจรติดขัด
- ระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา
- ไม่ต้องเสียเวลาหาสถานีเติมแก๊สและรอคิวนาน
- ทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น
- ห้องโดยสารกว้างขวาง สบาย และเงียบ
- พื้นที่เก็บสัมภาระกว้างขวาง บรรจุกระเป๋าโดยสารขนาดใหญ่ 24 นิ้วได้มากถึง 3 ใบ
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ปล่อยมลพิษ
การเปิดตัวของ AION ES ในฐานะแท็กซี่ไฟฟ้ายุคใหม่ นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะของไทยให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมสังคมไร้คาร์บอนและอุตสาหกรรมแท็กซี่ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถทดลองขับ AION ES ได้ที่ศูนย์บริการ AION ทั่วประเทศ เพื่อสัมผัสประสบการณ์การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะด้วยตัวเอง และสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aionauto.com/
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok