ในยุคที่ภัยคุกคามทางไซเบอร์มีความซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาความปลอดภัยแบบ Zero Trust กำลังกลายเป็นแนวทางสำคัญสำหรับองค์กรทั่วโลก แต่หลายคนยังมองว่าการนำ Zero Trust มาใช้เป็นเรื่องยุ่งยากและซับซ้อน Cloudflare จึงได้เสนอแนวทางการเริ่มต้นใช้งาน Zero Trust อย่างง่ายผ่าน 5 ขั้นตอนสำคัญ
ภัยคุกคามทางไซเบอร์ทวีความรุนแรงในภูมิภาคอาเซียน
เคนเนธ ไล รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของ Cloudflare เปิดเผยว่า ข้อมูลจากเครือข่ายของ Cloudflare ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดและเชื่อมต่อกันมากที่สุดในโลก แสดงให้เห็นว่าในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์เฉลี่ยถึง 7.7 พันล้านรายการต่อวัน สถานการณ์นี้ทำให้การนำ Zero Trust มาใช้ไม่ใช่เพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับองค์กรในยุคดิจิทัล
5 ขั้นตอนสู่การรักษาความปลอดภัยแบบ Zero Trust
Cloudflare ได้นำเสนอ 5 โครงการที่องค์กรสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีเพื่อเริ่มต้นใช้งาน Zero Trust โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. การใช้การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (MFA) สำหรับแอปพลิเคชันสำคัญ
การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัยเป็นด่านแรกในการป้องกันการขโมยข้อมูลส่วนบุคคล เคนเนธ ไล แนะนำว่า องค์กรควรเริ่มจากแอปพลิเคชันที่สำคัญที่สุดก่อน โดยอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น รหัสครั้งเดียว (OTP) หรือการแจ้งเตือนผ่านแอปบนมือถือของพนักงาน
สำหรับองค์กรที่ยังไม่มีระบบจัดการข้อมูลส่วนบุคคล สามารถใช้ทางเลือกอื่น ๆ ได้ เช่น การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลอย่าง Google, LinkedIn หรือ Facebook หรือการส่ง OTP ไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือ วิธีการเหล่านี้ช่วยเพิ่มความปลอดภัยโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนในระบบใหม่ทั้งหมด
2. การบังคับใช้นโยบาย Zero Trust ในแอปพลิเคชันหลัก
การรักษาความปลอดภัยแบบ Zero Trust ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การยืนยันตัวตนของผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปกป้องแอปพลิเคชันด้วย ไล อธิบายว่า ทุกคำขอต้องผ่านการตรวจสอบและยืนยันความถูกต้อง โดยพิจารณาจากพฤติกรรมและบริบทต่าง ๆ
องค์กรควรเริ่มจากการนำนโยบายนี้ไปใช้กับแอปพลิเคชันสำคัญก่อน เช่น ระบบจัดการลูกค้า (CRM) หรือระบบจัดการทรัพยากรองค์กร (ERP) โดยกำหนดกฎเกณฑ์การเข้าถึงที่เข้มงวด และตรวจสอบกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
3. การเฝ้าติดตามแอปพลิเคชันอีเมลและกรองการฟิชชิ่ง
อีเมลเป็นช่องทางการสื่อสารหลักและเป็นเป้าหมายยอดนิยมของการโจมตีทางไซเบอร์ ไล แนะนำให้องค์กรเพิ่มการป้องกันนอกเหนือจากระบบกรองสแปมทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยี Zero Trust เพื่อตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของอีเมลแต่ละฉบับ
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ใช้เบราว์เซอร์แบบแยกอิสระ (Isolated Browser) เพื่อเปิดลิงก์ในอีเมลในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ช่วยป้องกันการติดมัลแวร์หรือการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต
4. การปิดพอร์ตขาเข้าทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ตสำหรับการเปิดใช้แอปพลิเคชัน
พอร์ตเครือข่ายขาเข้าที่เปิดอยู่เป็นช่องโหว่สำคัญที่แฮกเกอร์มักใช้โจมตี ไล แนะนำให้องค์กรปิดพอร์ตเหล่านี้ทั้งหมดและใช้เทคโนโลยี Zero Trust Network Access (ZTNA) แทน
ZTNA จะอนุญาตให้เฉพาะการรับส่งข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้และผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้น โดยใช้พร็อกซีแบบย้อนกลับของ Zero Trust เพื่อเปิดแอปพลิเคชันบนเว็บอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเปิดพอร์ตขาเข้าใด ๆ วิธีนี้ช่วยลดพื้นที่การโจมตีและเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ
5. การปิดกั้นคำขอ DNS ที่เป็นภัยคุกคามหรือมีความเสี่ยง
การกรองข้อมูล DNS (DNS Filtering) เป็นอีกหนึ่งมาตรการสำคัญในการรักษาความปลอดภัย ไล อธิบายว่า แม้การกรอง DNS อาจไม่ใช่ส่วนหนึ่งของ Zero Trust โดยตรง แต่ก็สอดคล้องกับแนวคิดนี้
องค์กรควรใช้ระบบกรอง DNS เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เข้าถึงเว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นอันตราย โดยสามารถกำหนดนโยบายตามกลุ่มผู้ใช้ เพื่อควบคุมการโอนและอัปโหลดข้อมูลให้สอดคล้องกับหลักการของ Zero Trust
การเริ่มต้นอย่างง่ายสู่ความปลอดภัยที่ซับซ้อน
แม้ว่าการนำ Zero Trust มาใช้อย่างเต็มรูปแบบอาจดูเป็นเรื่องซับซ้อน แต่การเริ่มต้นจากโครงการง่าย ๆ เหล่านี้สามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับองค์กรได้ เคนเนธ ไล กล่าวว่า “องค์กรที่ดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้จะเห็นความคืบหน้าในด้านการรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างรากฐานที่มั่นคงไปพร้อมกัน”
ผู้เชี่ยวชาญจาก Cloudflare ยังเน้นย้ำว่า การวางแผนที่ชัดเจนเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้องค์กรสามารถปกป้องพนักงาน แอปพลิเคชัน และเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลดความซับซ้อนและต้นทุนในระยะยาว
ในท้ายที่สุด การนำ Zero Trust มาใช้อาจเป็นความท้าทาย แต่ด้วยแนวทางที่เป็นขั้นตอน และการวางแผนที่ดี องค์กรสามารถยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อน และรุนแรงมากขึ้นในยุคดิจิทัล
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok