Google เปิดตัว Pixel 9 สมาร์ทโฟนระดับเรือธงรุ่นใหม่ของปี 2024 ที่ปีนี้ปรับเวลามาเร็วกว่าปกติที่มักจะเปิดตัวในเดือนตุลาคม สำหรับดีไซน์นั้นอาจจะไม่แตกต่างจากเดิมนัก แต่มีการปรับปรุงหลายด้านทั้งเรื่องประสิทธิภาพด้าน AI กล้อง
การเปิดตัวที่เร็วขึ้นในปีนี้อาจเป็นกลยุทธ์ของ Google ที่จะแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการพัฒนาฮาร์ดแวร์ควบคู่ไปกับซอฟต์แวร์ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้
หน้าจอแสดงผลสว่างสดใส
Pixel 9 มาพร้อมกับหน้าจอ OLED ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด FHD+ และอัตรารีเฟรช 120Hz ที่น่าสนใจคือ Google ได้เปลี่ยนจากเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบออปติคัลมาเป็นแบบอัลตราโซนิก ซึ่งมีความแม่นยำมากขึ้น นอกจากนี้ ความสว่างสูงสุดของหน้าจอยังเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 2,700 นิต จากเดิม 2,000 นิตในรุ่นก่อนหน้า
การเพิ่มความสว่างของหน้าจอนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้สะดวกมากขึ้นแม้ในสภาพแสงแดดจ้า ซึ่งเป็นปัญหาที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนหลายคนประสบ ส่วนการเปลี่ยนมาใช้เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบอัลตราโซนิกนั้น นอกจากจะเพิ่มความแม่นยำแล้ว ยังช่วยลดปัญหาการอ่านลายนิ้วมือผิดพลาดเมื่อนิ้วเปียกหรือมีคราบสกปรกเล็กน้อยอีกด้วย
อัปเกรดกล้องถ่ายภาพ
แม้ว่า Pixel 9 จะยังคงใช้ระบบกล้องคู่ (กล้องหลักและกล้องมุมกว้าง) แต่ก็ได้รับการปรับปรุงโดยรวมให้ดีขึ้นโดย กล้องหลักยังคงเป็นเซ็นเซอร์ขนาด 50MP แต่กล้องมุมกว้างได้รับการอัปเกรดเป็นเซ็นเซอร์ขนาด 48MP พร้อมเลนส์มุมกว้าง 123 องศา ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 12MP ในรุ่นก่อนหน้า
การอัปเกรดกล้องมุมกว้างนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพวิวทิวทัศน์หรือภาพกลุ่มได้กว้างขึ้นและมีรายละเอียดมากขึ้น นอกจากนี้ ด้วยความละเอียดที่สูงขึ้น ภาพถ่ายจากกล้องมุมกว้างจะมีคุณภาพใกล้เคียงกับกล้องหลักมากขึ้น ทำให้การตัดต่อหรือครอปภาพในภายหลังทำได้โดยไม่สูญเสียคุณภาพมากนัก โดยทาง Google ยังคงใช้เทคโนโลยี Computational Photography ซึ่งเป็นจุดแข็งของ Pixel มาโดยตลอด เพื่อปรับปรุงคุณภาพภาพถ่ายให้ดียิ่งขึ้น
ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นด้วย Tensor G4
หัวใจสำคัญของ Pixel 9 คือชิป Tensor G4 ที่ Google ออกแบบเอง ประกอบด้วยซีพียู Cortex-X4 core หนึ่งตัว, A720 สามตัว และ A520 สี่ตัว รวมเป็น 8 คอร์ นอกจากนี้ยังมี GPU Mali-G715 ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
Tensor G4 นี้ไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถด้าน AI และ Machine Learning โดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น การประมวลผลภาพ การแปลภาษาแบบเรียลไทม์ และการรู้จำเสียงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ การใช้โมเด็ม Exynos 5400 ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นยังช่วยให้การเชื่อมต่อเครือข่าย 5G มีความเสถียรและประหยัดพลังงานมากขึ้นอีกด้วย รวมถึงยังมีการเพิ่มฟีเจอร์การส่ง SMS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมโดยตรงในเวลาที่ไม่มีเชื่อมต่อสัญญาณมือถือและ Wi-Fi
RAM ที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับ AI
Pixel 9 มาพร้อมกับ RAM ขนาด 12GB ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 8GB ในรุ่นก่อนหน้า การเพิ่ม RAM นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการประมวลผล AI แบบ on-device โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Gemini Nano รวมถึงยังช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานโดยรวมของผู้ใช้ ทำให้การสลับระหว่างแอปพลิเคชันทำได้รวดเร็วขึ้น และรองรับการทำงานแบบมัลติทาสกิ้งได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้ Pixel 9 สามารถรันแอปพลิเคชันที่ต้องการหน่วยความจำสูง เช่น เกมที่มีกราฟิกสูงหรือแอปตัดต่อวิดีโอ ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
แบตเตอรี่และการชาร์จที่ดีขึ้น
แบตเตอรี่ของ Pixel 9 มีความจุเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 4,700mAh และรองรับการชาร์จเร็วที่ 45W ซึ่งสามารถชาร์จได้ 55% ในเวลา 30 นาที
แม้ว่าความจุแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ Google ได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของ Tensor G4 และซอฟต์แวร์ ทำให้ Pixel 9 สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้นในการชาร์จแต่ละครั้ง ส่วนการรองรับการชาร์จเร็วที่ 45W นั้น ช่วยให้ผู้ใช้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้อย่างรวดเร็วในกรณีฉุกเฉิน นอกจากนี้ Pixel 9 ยังรองรับการชาร์จไร้สายและการชาร์จแบบย้อนกลับ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น
มาพร้อมกับ Android 14 และการอัปเดตซอฟต์แวร์ระยะยาว
Google ยังคงให้การสนับสนุนการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวลา 7 ปี ทั้งระบบปฏิบัติการและแพตช์ความปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้งานสมาร์ทโฟนในระยะยาว
นโยบายการอัปเดตซอฟต์แวร์ระยะยาวนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Google ในการสนับสนุนผู้ใช้ Pixel อย่างต่อเนื่อง การได้รับอัปเดตระบบปฏิบัติการและแพตช์ความปลอดภัยเป็นประจำไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องอุปกรณ์จากภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากผู้ใช้สามารถใช้งานอุปกรณ์ได้ยาวนานขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อยๆ
Google Pixel 9 ปรับปรุงดีขึ้นรอบด้าน เสริมพลังด้วย AI
Google Pixel 9 นำเสนอการปรับปรุงที่น่าสนใจในหลายด้าน ทั้งประสิทธิภาพของชิปเซ็ต Tensor G4 ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานด้าน AI โดยเฉพาะ การเพิ่ม RAM เป็น 12GB เพื่อรองรับการประมวลผล AI แบบ on-device และการทำงานแบบมัลติทาสก์ กล้องที่ได้รับการอัปเกรดโดยเฉพาะกล้องมุมกว้างที่เพิ่มความละเอียดเป็น 48MP และจอแสดงผลที่สว่างขึ้นถึง 2,700 นิต
นอกจากนี้ การปรับปรุงระบบการชาร์จที่เร็วขึ้นและการรองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเวลา 7 ปี ยังเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ใช้งานได้ยาวนานและมีความปลอดภัยสูง การที่ Google เปิดตัว Pixel 9 เร็วกว่าปกติในเดือนสิงหาคมนี้ อาจเป็นสัญญาณของความพยายามในการแข่งขันกับแบรนด์อื่นๆ ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม
ราคาและการวางจำหน่าย Google Pixel 9
Pixel 9 มีราคาเริ่มต้นที่ $800 (ประมาณ 28,000 บาท) สำหรับรุ่นความจุ 128GB และ $900 (ประมาณ 31,500 บาท) สำหรับรุ่นความจุ 256GB ในสหรัฐอเมริกา สำหรับตลาดในยุโรป ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 900 ยูโร (ประมาณ 35,000 บาท) สำหรับรุ่น 128GB และ 1,000 ยูโร (ประมาณ 39,000 บาท) สำหรับรุ่น 256GB
Google เปิดให้สั่งจองล่วงหน้าทันทีหลังการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยผู้ที่สั่งจองในช่วงแรกจะได้รับการอัพเกรดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลฟรี จาก 128GB เป็น 256GB และจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ในสหรัฐอเมริกา
Pixel 9 มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Porcelain (สีครีม), Peony (สีชมพู), Wintergreen (สีเขียวมิ้นต์) และ Obsidian (สีดำ) ซึ่งให้ทางเลือกที่หลากหลายสำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบสไตล์ที่แตกต่างกัน
สรุปข้อมูล สเปก Google Pixel 9
- ขนาด: 152.8 x 72 x 8.5 มม.
- น้ำหนัก: 198 กรัม
- วัสดุ: กระจกด้านหน้าและด้านหลัง (Gorilla Glass Victus 2), เฟรมอลูมิเนียม
- กันน้ำ: IP68 (ลึก 1.5 เมตร นาน 30 นาที)
- หน้าจอ:
- OLED, 120Hz, HDR10+
- ขนาด 6.3 นิ้ว
- ความละเอียด 1080 x 2424 พิกเซล (อัตราส่วน 20:9)
- ความหนาแน่น 422 ppi
- ความสว่างสูงสุด 2700 nits
- Always-on display
- ระบบปฏิบัติการ: Android 14 (อัปเดตหลัก Android ได้ถึง 7 เวอร์ชัน)
- ชิปเซ็ต: Google Tensor G4 (4 nm)
- หน่วยความจำ:
- 128GB 12GB RAM
- 256GB 12GB RAM
- ไม่มีช่องเสียบการ์ด
- กล้องหลัก:
- 50 MP, f/1.7, กว้าง 25มม., 1/1.31″, 1.2μm, dual pixel PDAF, single-zone Laser AF, OIS
- 48 MP, f/1.7, มุมกว้าง 123˚, 1/2.55″, dual pixel PDAF
- คุณสมบัติ: แฟลช Dual-LED, Pixel Shift, พาโนรามา, Best Take
- วิดีโอ: 4K@24/30/60fps, 1080p@24/30/60/120/240fps; gyro-EIS, OIS, 10-bit HDR
- กล้องหน้า:
- 10.5 MP, f/2.2, มุมกว้าง 20มม., 1/3.1″, 1.22μm, PDAF
- คุณสมบัติ: Auto-HDR, พาโนรามา
- วิดีโอ: 4K@30/60fps, 1080p@30/60fps
- เสียง: ลำโพงสเตอริโอ, ไม่มีแจ็ค 3.5 มม.
- การเชื่อมต่อ:
- Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6e/7, tri-band
- Bluetooth 5.3, A2DP, LE, aptX HD
- GPS (L1+L5), GLONASS (G1), GALILEO (E1+E5a), QZSS (L1+L5)
- NFC
- USB Type-C 3.2
- เซ็นเซอร์:
- เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ (ใต้จอแบบออปติคอล)
- เซ็นเซอร์วัดความเร่ง
- ไจโรสโคป
- เซ็นเซอร์ตรวจจับความใกล้
- เข็มทิศ
- บารอมิเตอร์
- แบตเตอรี่:
- Li-Ion 4700 mAh
- ชาร์จแบบมีสาย 45W (55% ใน 30 นาที)
- ชาร์จไร้สาย 15W
- ชาร์จย้อนกลับแบบไร้สาย
- สี: Obsidian, Porcelain, Wintergreen, Peony
- ราคา: เริ่มต้นที่ 899 ยูโร (ประมาณ 35,000 บาท)
ข้อมูลจาก GSMArena