รีวิว Nothing Ear หูฟังไร้สาย เจนเนอเรชันที่ 3 จาก Nothing แบรนด์เทคโนโลยีจากอังกฤษ ที่ครั้งนี้ได้อัปเกรดปรับปรุงในหลาย ๆ ด้าน แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ภายนอกที่คล้ายคลึงกับรุ่นก่อนหน้า แต่ภายในนั้นอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การฟังเพลงของคุณ
โดยจุดเด่นหลักๆ ของ Nothing Ear ได้แก่ การปรับปรุงคุณภาพเสียงด้วยไดรเวอร์เซรามิกใหม่ ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
หลังจากที่ทางทีมงาน TechOffside ได้ทดสอบลองใช้มาสักพักใหญ่ๆ มาดูกันใน รีวิว นี้ว่า Nothing Ear รุ่นล่าสุดตัวนี้ จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง
แกะกล่อง – Unbox
เริ่มต้นตั้งแต่ตัวแพ็กเกจสินค้า ที่มีความน่าสนใจตั้งแต่การออกแบบที่มีขนาดกะทัดรัด ตัวกล่องเป็นสีดำที่ต้องฉีกแถบด้านหลังเพื่อแกะกล่อง โดยภายในกล่องนั้นจะมีตัวหูฟังเก็บอยู่ในเคสชาร์จ และมีคู่มือการใช้งานเบื้องต้น รวมถึงตัวสาย USB-C แบบสั้นสำหรับการชาร์จไฟ และตัวจุกหูฟังแบบซิลิโคนที่มีให้เปลี่ยนเพิ่มได้อีก 2 ขนาด (รวมกับที่สวมกับที่หูฟัง จะมี 3 ขนาด S M และ L)
การออกแบบและการสวมใส่
Nothing Ear ยังคงสไตล์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ด้วยตัวหูฟังโปร่งใส คุณมองเห็นส่วนประกอบภายใน การออกแบบนี้ไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเห็นการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในได้อย่างน่าสนใจ
ตัวหูฟังมีน้ำหนักเพียง 4.62 กรัมต่อข้าง ถือว่าเบามากเมื่อเทียบกับหูฟังไร้สายทั่วไปในท้องตลาด น้ำหนักที่เบานี้ช่วยให้สวมใส่สบายแม้ว่าจะใส่เป็นระยะเวลานาน โดยไม่ก่อให้เกิดความเมื่อยล้าหรือระคายเคืองต่อหู
การควบคุมทำได้ผ่านการสัมผัสที่ก้านหูฟัง ซึ่งมีความไวต่อการสัมผัสและตอบสนองได้อย่างแม่นยำ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งฟังก์ชันการควบคุมได้ตามต้องการผ่านแอป Nothing X ทำให้สามารถกำหนดการทำงานได้ตามความสะดวกของแต่ละบุคคล
กล่องชาร์จของ Nothing Ear มีขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวก สามารถใส่ลงในกระเป๋ากางเกงได้อย่างสบาย นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงวัสดุให้ทนทานขึ้นกว่ารุ่นก่อน ลดปัญหาการเกิดรอยขีดข่วนและความเสียหายจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ทั้งตัวหูฟังและกล่องชาร์จได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP54 และ IP55 ตามลำดับ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่มีเหงื่อ หรือการใช้งานในวันที่ฝนตกเล็กน้อย
Nothing ยังให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้พลาสติกรีไซเคิลในส่วนประกอบบางชิ้น แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมของแบรนด์
คุณภาพเสียงและ ANC
Nothing Ear มาพร้อมกับไดรเวอร์เซรามิกขนาด 11 มม. ที่ให้คุณภาพเสียงระดับพรีเมียม การใช้วัสดุเซรามิกในไดรเวอร์ช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้เสียงที่ออกมามีความชัดเจนและแม่นยำมากขึ้น
จุดเด่นของ Nothing Ear คือเสียงเบสที่หนักแน่นและชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเพลงแนว EDM, Hip Hop หรือ R&B ที่ต้องการความหนักแน่นของเสียงต่ำ อย่างไรก็ตาม Nothing ไม่ได้ละเลยย่านความถี่อื่น โดยเสียงกลางและเสียงสูงก็มีความชัดเจนและสมดุล ทำให้สามารถรับฟังเพลงได้หลากหลายแนวอย่างมีอรรถรส
ผู้ใช้สามารถปรับแต่งเสียงได้ตามความต้องการผ่านอีควอไลเซอร์ในแอป Nothing X ซึ่งมีตัวเลือกการปรับแต่งที่ละเอียดและหลากหลาย ทำให้สามารถปรับแต่งเสียงให้เหมาะกับรสนิยมส่วนตัวได้อย่างลงตัว
ระบบตัดเสียงรบกวน (ANC) ของ Nothing Ear ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่ารุ่นก่อน สามารถลดเสียงรบกวนได้ถึง 45 dB ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าประทับใจสำหรับหูฟังในระดับราคานี้ ANC ทำงานได้ดีในการลดเสียงรบกวนความถี่ต่ำ เช่น เสียงเครื่องปรับอากาศ เสียงเครื่องบิน หรือเสียงรถยนต์ ทำให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
นอกจากนี้ Nothing Ear ยังมีโหมด Transparency ที่ช่วยให้คุณได้ยินเสียงรอบข้างได้อย่างชัดเจนเมื่อต้องการ โดยไม่ต้องถอดหูฟังออก ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มากเมื่อต้องการสนทนากับผู้อื่นหรือต้องการรับรู้สภาพแวดล้อมรอบตัว
แบตเตอรี่และการเชื่อมต่อ
Nothing Ear มีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่น่าประทับใจ โดยตัวหูฟังสามารถใช้งานได้นานถึง 5.2 ชั่วโมงเมื่อเปิด ANC และรวมกับกล่องชาร์จแล้วใช้งานได้นานถึง 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นที่สุดในตลาด แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
หากไม่เปิดใช้งาน ANC อายุการใช้งานแบตเตอรี่จะเพิ่มขึ้นเป็น 8.5 ชั่วโมงสำหรับตัวหูฟัง และ 40.5 ชั่วโมงเมื่อรวมกับกล่องชาร์จ ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
สำหรับเคสชาร์จของ Nothing Ear ใช้เวลาในการชาร์จจากศูนย์ถึงเต็มประมาณ 70 นาทีผ่านพอร์ต USB-C นอกจากนี้ยังรองรับการชาร์จแบบไร้สายมาตรฐาน Qi ซึ่งสะดวกแต่จะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย ประมาณ 2-3 ชั่วโมง และตัวเคสยังมีฟีเจอร์ชาร์จเร็ว โดย 10 นาทีแรกจะให้พลังงานพอใช้งานหูฟังได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ทำให้สะดวกเมื่อต้องการใช้งานเร่งด่วน
ด้านการเชื่อมต่อ Nothing Ear ใช้ Bluetooth 5.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุด ให้การเชื่อมต่อที่เสถียรและประหยัดพลังงาน การจับคู่กับอุปกรณ์ทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยเฉพาะกับอุปกรณ์ Android ที่รองรับการจับคู่แบบ Fast Pair
นอกจากนี้ Nothing Ear รองรับการเชื่อมต่อแบบ Multipoint ซึ่งช่วยให้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ 2 เครื่องพร้อมกัน เช่น สมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสลับการใช้งานระหว่างอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องตัดการเชื่อมต่อและเชื่อมต่อใหม่ทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถฟังเพลงจากแล็ปท็อปขณะทำงาน และเมื่อมีสายเรียกเข้าทางโทรศัพท์ หูฟังจะสลับไปรับสายโดยอัตโนมัติ เมื่อวางสาย หูฟังก็จะกลับมาเล่นเพลงจากแล็ปท็อปต่อทันที
แอป Nothing X และฟีเจอร์เพิ่มเติม
แอป Nothing X เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน Nothing Ear โดยมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งการใช้งานได้ตามต้องการ โดยมีให้ดาวนโหลดทั้งในระบบ Android และ iOS โดยในการทดสอบ รีวิว นี้ เราใช้งานบน iPhone ที่เป็น iOS
หนึ่งในฟีเจอร์เด่นคือการปรับแต่ง EQ แบบละเอียด ซึ่งให้อิสระในการปรับแต่งเสียงได้มากกว่าการเลือกโหมดเสียงสำเร็จรูปทั่วไป ผู้ใช้สามารถปรับแต่งความถี่ต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเสียงเบส เน้นเสียงกลาง หรือเพิ่มความคมชัดของเสียงแหลม
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์การทดสอบการได้ยินส่วนบุคคล ที่จะทำการทดสอบการได้ยินของผู้ใช้และปรับแต่งเสียงให้เหมาะสมกับลักษณะการได้ยินของแต่ละคน ช่วยให้ได้รับประสบการณ์การฟังที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวคุณเอง
ฟีเจอร์ Find My Earbuds ช่วยให้คุณสามารถค้นหาหูฟังที่สูญหายได้ โดยการส่งเสียงดังจากหูฟังเพื่อให้คุณสามารถหาตำแหน่งได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์มากโดยเฉพาะเมื่อหูฟังหล่นหายในบ้านหรือสำนักงาน
แอป Nothing X ยังอนุญาตให้ผู้ใช้ปรับแต่งการควบคุมเองได้ โดยสามารถกำหนดฟังก์ชันการทำงานสำหรับการสัมผัสแบบต่างๆ ได้ เช่น การบีบหนึ่งครั้ง สองครั้ง หรือการบีบค้าง ทำให้สามารถปรับแต่งการใช้งานให้เหมาะกับความต้องการส่วนบุคคลได้อย่างลงตัว ทั้งการควบคุมเพลง, เปลี่ยนเพลง, ปรับระดับเสียง, เรียกใช้ผู้ช่วยเสียง, เปลี่ยนโหมด ANC รวมไปถึงการรับสายวางสาย
นอกจากนี้ แอปยังมีฟีเจอร์การอัปเดตเฟิร์มแวร์ ซึ่งช่วยให้ Nothing สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับหูฟังได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้สามารถได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้จะใช้งานมาเป็นระยะเวลานาน
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือโหมด Low Latency ที่ช่วยลดความหน่วงของเสียงลง ทำให้เหมาะสำหรับการเล่นเกมหรือรับชมวิดีโอที่ต้องการความซิงโครไนซ์ระหว่างภาพและเสียงที่แม่นยำ
แอป Nothing X ยังมีส่วนแสดงสถานะแบตเตอรี่ของหูฟังและกล่องชาร์จ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามระดับแบตเตอรี่และวางแผนการชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้งานร่วมกับ ChatGPT แบบบูรณาการ
Nothing Ear มาพร้อมกับนวัตกรรมล่าสุดที่น่าตื่นเต้น นั่นคือการบูรณาการใช้งานร่วมกับ ChatGPT ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ Nothing เพิ่งเปิดตัวสำหรับผลิตภัณฑ์หูฟังของพวกเขา ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง ChatGPT ได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบายผ่านการควบคุมด้วยเสียง
วิธีการใช้งานนั้นไม่ยุ่งยาก ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ ChatGPT ได้ เพียงแค่พูดคำสั่งเสียงหรือการกดปุ่มบนหูฟัง จากนั้นสามารถถามคำถามหรือขอความช่วยเหลือจาก AI ได้โดยตรง โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ซึ่งสะดวกอย่างมากในสถานการณ์ที่ต้องการใช้มือทั้งสองข้าง เช่น ขณะขับรถหรือทำอาหาร
อย่างไรก็ตาม มีข้อควรทราบสำคัญคือ ฟีเจอร์นี้จะใช้งานได้เฉพาะเมื่อจับคู่กับสมาร์ทโฟน Nothing เท่านั้น ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ของ Nothing นอกจากนี้ ยังต้องมีการติดตั้งแอป ChatGPT บนโทรศัพท์และลงทะเบียนบัญชีผู้ใช้ก่อนจึงจะสามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้
สรุป รีวิว จุดเด่นที่ประทับใจ และข้อด้อย
หลังจากที่เราได้ทดสอบใช้งาน Nothing Ear มาสักพัก ส่วนตัวรู้สึกประทับใจกับคุณภาพเสียงด้วย คาแรคเตอร์เสียงที่โดดเด่นด้วยเสียงเบสที่หนักแน่นและทรงพลัง ให้ความรู้สึกกระชับและมีมิติ เหมาะสำหรับเพลงแนว EDM, Hip-Hop และ R&B เสียงย่านกลางมีความชัดเจน ทำให้เสียงร้องและเครื่องดนตรีหลักฟังดูมีชีวิตชีวา ส่วนเสียงแหลมให้รายละเอียดดี แต่ไม่บาดหู ทำให้ฟังสบายในระยะยาว โดยรวมแล้วให้เสียงที่สนุกสนาน มีพลัง แต่ยังคงความสมดุลที่ดี เหมาะสำหรับผู้ฟังทั่วไปที่ชื่นชอบเสียงเบสหนักๆ
การออกแบบแบบโปร่งแสงที่เป็นเอกลักษณ์ สร้างความโดดเด่นและน่าสนใจ อีกทั้งยังสวมใส่สบายแม้ใช้งานเป็นเวลานาน ระบบ ANC ทำงานได้ดีเกินคาด สามารถตัดเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทั่วไปอย่างออฟฟิศหรือร้านกาแฟ นอกจากนี้ ประสิทธิภาพด้านการสนทนาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ไมโครโฟนจับเสียงได้ชัดเจน คู่สนทนาสามารถได้ยินเสียงของผมได้อย่างชัดถ้อยชัดคำแม้อยู่ในที่ที่มีเสียงรบกวนปานกลาง ส่วนโหมด Transparency ก็ทำงานได้ดี ช่วยให้สามารถได้ยินเสียงรอบข้างได้อย่างเป็นธรรมชาติเมื่อต้องการสนทนากับผู้อื่นโดยไม่ต้องถอดหูฟังออก
และที่ชอบมากๆ คือการเชื่อมต่อแบบ 2 อุปกรณ์แล้วสลับใช้งานให้อัตโนมัติ เหมาะสำหรับยุคนี้ที่เวลาออกไปนอกบ้านแต่ละคนต้องมีอุปกรณ์พกออกไปหลายชิ้น ทั้งสมาร์ทโฟน (ที่บางคนพกทีเดียว 2 เครื่อง), แท็บเล็ต และแล็ปท็อป การเชื่อมต่อที่สลับให้อัตโนมัติถือว่าสะดวกรวดเร็วมากๆ
อย่างไรก็ตาม มีบางจุดที่เรารู้สึกว่ายังเป็นข้อจำกัดของ Nothing Ear นั่นคือระดับเสียงสูงสุดที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งอาจไม่เพียงพอเมื่อต้องใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมากๆ เช่น บนเครื่องบินหรือรถไฟฟ้าขนส่งสาธารณะ นอกจากนี้ แม้ว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่จะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็อาจไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานานมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อเปิดใช้งาน ANC
โดยสรุปแล้ว เราคิดว่า Nothing Ear เป็นหูฟังที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเสียงเบสหนักแน่น ต้องการหูฟังที่มีดีไซน์โดดเด่นไม่เหมือนใคร และมองหาประสิทธิภาพการตัดเสียงรบกวนที่ดีในราคาที่เข้าถึงได้ หูฟังรุ่นนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ฟังเพลงหลากหลายแนว ใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งการเดินทาง ทำงาน หรือออกกำลังกาย รวมถึงผู้ที่ต้องการหูฟังที่มีประสิทธิภาพดีในการสนทนาทางโทรศัพท์ แต่อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนักฟังเพลงที่ต้องการความละเอียดสูงสุดหรือผู้ที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 5-6 ชั่วโมงโดยไม่ต้องชาร์จ
Nothing Ear วางจำหน่ายแล้ว ราคา 5,599 บาท หาซื้อได้ที่ Nothing official store ใน Shopee, Lazada หรือร้าน dotlife, Powermall, Jaymart, และ Carnival และสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://th.nothing.tech