Adobe เปิดตัวเครื่องมือ Text-to-Video สร้างวิดีโอด้วย AI ภายใต้ชื่อ Firefly ที่จะมาปฏิวัติวงการตัดต่อวิดีโอ โดยบริษัทได้เผยโฉมความสามารถอันน่าทึ่งของเทคโนโลยีใหม่นี้ ซึ่งจะช่วยให้นักสร้างสรรค์สามารถผลิตผลงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันเบต้าภายในปลายปี 2024 นี้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา Adobe ได้เปิดเผยถึงเครื่องมือสร้างวิดีโอด้วย AI ชุดใหม่ภายใต้ชื่อ Firefly ซึ่งจะมาเปลี่ยนโฉมหน้าของการผลิตวิดีโอในอนาคต โดยเทคโนโลยีนี้ประกอบด้วยฟีเจอร์หลักๆ ได้แก่ การสร้างวิดีโอจากข้อความ (Text-to-Video), การขยายวิดีโอ (Generative Extend) ซึ่งจะมีให้ใช้งานใน Premiere Pro และการแปลงภาพนิ่งเป็นวิดีโอ (Image-to-Video)
Alexandru Costin รองประธานฝ่าย Generative AI ของ Adobe กล่าวว่า เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยลดความยุ่งยากในขั้นตอนหลังการผลิต เช่น การแก้ไขช่องว่างในฟุตเทจ การลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากฉาก การทำให้การตัดต่อราบรื่นขึ้น และการค้นหา B-roll ที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้นักตัดต่อวิดีโอมีเวลามากขึ้นในการสำรวจไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆ
ความสามารถของเครื่องมือนี้ ไม่เพียงแค่สร้างวิดีโอจากคำอธิบาย แต่ยังสามารถควบคุมมุมกล้อง การเคลื่อนไหว และการซูมได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเติมเต็มช่องว่างในไทม์ไลน์ของวิดีโอ และแปลงภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอที่สมจริงได้ Adobe ระบุว่าโมเดล AI ของพวกเขามีความเชี่ยวชาญในการสร้างวิดีโอเกี่ยวกับธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยในการสร้าง Establishing Shot หรือ B-roll โดยไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก Firefly Video Model จะสามารถสร้างวิดีโอได้เพียง 5 วินาทีเท่านั้น Adobe ยืนยันว่าโมเดลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในเชิงพาณิชย์ โดยใช้เฉพาะข้อมูลที่บริษัทได้รับอนุญาตในการฝึกฝน AI เท่านั้น ซึ่งประกอบด้วยฐานข้อมูล Adobe Stock ที่มีรูปภาพ ภาพประกอบ และวิดีโอกว่า 400 ล้านรายการ โดยไม่มีการใช้ทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า หรือตัวละครที่สามารถจดจำได้
ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรอทดลองใช้งานเครื่องมือใหม่นี้ได้แล้ว โดย Adobe จะเปิดให้ใช้งานในเวอร์ชันเบต้าภายในปลายปี 2024 นี้ การมาถึงของเทคโนโลยี AI สำหรับการสร้างวิดีโอนี้ อาจส่งผลกระทบต่อวงการผลิตรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และโฆษณาอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตอันใกล้
ข้อมูลจาก Engadget
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok