Apple เปิดตัว ชิป A18 รุ่นใหม่ใน iPhone 16 มีผลทดสอบออกมาที่สร้างความน่าสนใจ ด้วยประสิทธิภาพระดับท้าชน CPU สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โดยเฉพาะในการทดสอบแบบ Single-core บน Geekbench 6 ที่สามารถเอาชนะ AMD Ryzen 9 9950X รวมถึงชิปอีกหลายรุ่นได้อย่างน่าทึ่ง
ชิป A18 รุ่นมาตรฐาน (ไม่ใช่รุ่น Pro) มาพร้อมกับแกนประสิทธิภาพสูง 2 แกนที่ทำงานที่ความเร็วสูงสุด 4.0 GHz ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ชิปสมาร์ทโฟนของ Apple สามารถทำความเร็วได้สูงขนาดนี้ นอกจากนี้ยังมีแกนประหยัดพลังงานอีก 4 แกน ทำให้ชิปนี้สามารถทำคะแนน Geekbench 6 ในโหมด Single-thread ได้ถึง 3,409 คะแนน และในโหมด Multi-thread ได้ 8,492 คะแนน
เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง A17 Pro พบว่า A18 มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 15.5% ในการทำงานแบบ Single-thread และ 16.6% ในการทำงานแบบ Multi-thread นอกจากนี้ยังเหนือกว่าคู่แข่งอย่าง Qualcomm Snapdragon 8 Gen 3 อย่างเห็นได้ชัด
และเมื่อข้ามรุ่นมาเทียบกับ CPU สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ พบว่า ชิป A18 สามารถเอาชนะ Apple M3, AMD Ryzen 9 7950X และ Intel Core i9-14900KS ในการทดสอบ Single-thread ของ Geekbench 6 ได้ แถมยังสูสีกับ AMD Ryzen 9 9950X อีกด้วย แม้จะยังตามหลัง Apple M4 ที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงกว่า 400 MHz ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในด้านประสิทธิภาพแบบ Multi-thread A18 ด้วยจำนวนแกนเพียง 6 แกน ยังคงตามหลัง CPU สำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะอยู่มาก ทำให้เกิดความน่าสนใจว่า A18 Pro ที่มี 8 แกนจะสามารถเอาชนะ Apple M3 ได้หรือไม่
การเพิ่มขึ้นของความเร็วสัญญาณนาฬิกาใน A18 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอยู่ที่ 6% ดังนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพส่วนใหญ่จึงน่าจะมาจากการปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายใน แม้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพอาจดูไม่มากนัก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเนื่องจาก A18 ผลิตด้วยกระบวนการ N3E (3nm-class) ของ TSMC ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อลดต้นทุนมากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดการใช้พลังงานอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ ผลการทดสอบจาก Geekbench 6 เป็นเพียงการวัดประสิทธิภาพเชิงสังเคราะห์ ประสิทธิภาพในการใช้งานจริงของ A18 และ A18 Pro อาจแตกต่างออกไป อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบนี้สอดคล้องกับการประเมินประสิทธิภาพของ Apple เอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชิปรุ่นใหม่นี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% เมื่อเทียบกับ A17 Pro ในสถานการณ์ที่ดีที่สุด
ข้อมูลจาก Tomshardware
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok
