การ์ทเนอร์ เผยแนวโน้มการใช้จ่ายด้านความปลอดภัยข้อมูลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 15.1% ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่า 212 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ประเทศไทยคาดว่าจะมีการใช้จ่ายรวม 18,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.3% จากปีก่อน
ท่ามกลางภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง องค์กรต่างๆ ทั่วโลกกำลังเร่งเพิ่มงบประมาณด้านความปลอดภัยข้อมูล โดย ชัยเลนดรา อูปัดห์เญ หัวหน้าฝ่ายวิจัยอาวุโสของ การ์ทเนอร์ ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นนี้ ได้แก่ การย้ายระบบไปสู่คลาวด์ และการขาดแคลนบุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วทำให้องค์กรต่างๆ ต้องปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มการป้องกันที่ปลายทาง (Endpoint Protection Platform หรือ EPP) และระบบตรวจจับและตอบสนองที่ปลายทาง (Endpoint Detection and Response หรือ EDR) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจสอบและลดภัยคุกคามโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ AI แบบสร้างสรรค์ (Generative AI หรือ GenAI) มาใช้อย่างแพร่หลาย ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการลงทุนในตลาดซอฟต์แวร์ความปลอดภัย โดยเฉพาะในด้านความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน ความปลอดภัยของข้อมูลและความเป็นส่วนตัว รวมถึงการปกป้องโครงสร้างพื้นฐาน การ์ทเนอร์ คาดการณ์ว่าภายในปี 2570 การโจมตีทางไซเบอร์และการรั่วไหลของข้อมูลถึง 17% จะเกี่ยวข้องกับ GenAI
การย้ายระบบไปสู่คลาวด์ยังคงเป็นแนวโน้มสำคัญ ส่งผลให้การลงทุนในโซลูชันความปลอดภัยบนคลาวด์เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าตลาดตัวกลางรักษาความปลอดภัยของการเข้าถึงระบบคลาวด์ (Cloud Access Security Brokers หรือ CASB) และแพลตฟอร์มการปกป้องภาระงานในคลาวด์ (Cloud Workload Protection Platforms หรือ CWPP) จะมีมูลค่ารวมถึง 8.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568
ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะด้านความปลอดภัยไซเบอร์ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญ ส่งผลให้การลงทุนในตลาดบริการด้านความปลอดภัย ซึ่งรวมถึงบริการที่ปรึกษา บริการระดับมืออาชีพ และบริการการจัดการด้านความปลอดภัย มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางภูมิทัศน์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวและลงทุนในเทคโนโลยีและบริการด้านความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้นและปกป้องข้อมูลสำคัญขององค์กร
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok