เปิดตัวแล้วเรียบร้อย ว่าแต่ ซื้อดีมั้ย กับ iPad mini 7 (2024) แท็บเล็ตไซต์ขนาดกะทัดรัด ที่ดูเหมือนว่าหน้าตาจะไม่ได้แตกต่างจากรุ่นก่อน เน้นที่การอัปเกรดประสิทธิภาพภายใน รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ทีมงาน TechOffside จะมาเล่าให้ฟังว่า มันดีขึ้นกว่ารุ่นที่ 6 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ 2 ปีกว่าๆ แค่ไหน และถ้าจะซื้อมาใช้ จะเหมาะกับใคร ทำงานได้แค่ไหน แล้วคุ้มมั้ย? ถ้าจะเปลี่ยนจากรุ่นเก่ามาเป็นรุ่นใหม่
สำหรับ iPad mini 7 นั้น ต้องยอมรับว่าลือกันมานานหลายรอบแล้วว่าจะเปิดตัว เพราะบรรดาไอแพดรุ่นอื่นๆ นั้นได้รับการอัปเกรดเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่กันหมดแล้ว เหลือแค่ iPad mini กับ iPad รุ่นเริ่มต้น เท่านั้น สุดท้ายน้องไซส์เล็กจิ๋วก็ได้เปิดตัวออกมาก่อน
มีมือถือเครื่องใหม่แล้ว อย่าลืมนำมือถือเครื่องเก่ามาทิ้งให้ถูกที่เพื่อโลกที่ดีกว่าไปด้วยกันนะครับ
AIS ชวนทุกคนมาฝากทิ้ง E-Waste หรือมือถือเก่า ที่ AIS Shop และจุดรับทิ้งกว่า 2,500 จุดทั่วประเทศ เช็กจุดรับทิ้งได้ที่
https://sustainability.ais.co.th/th/sustainability-projects/ais-ewaste/collection-channels
ดีไซน์หน้าตาเหมือนเดิม เพิ่มเติมสีใหม่ให้เลือก
เอาเป็นว่า รูปลักษณ์ภายนอกของ iPad mini 7 นั้น เหมือนกับ iPad mini 6 ทุกประการ ด้วยรูปทรงขอบเรียบ เว้นขอบรอบจอหนาเหมือนเดิม (จริงๆ คือรุ่นอื่นเค้าเล็กลงเรื่อยๆ ไปก่อนแล้ว) ปุ่มกด TouchID ลำโพง ไมโครโฟน กล้องหน้า กล้องหลัง ฯลฯ อยู่ที่เดิมหมด
จะมีแตกต่างบ้างกับตัวเลือกสีที่เปลี่ยนไป โดยใน iPad mini 7 จะมีให้เลือก 4 สีคือ สีฟ้า, ม่วง, สตาร์ไลท์ และเทาสเปซเกรย์ ส่วน iPad mini 6 จะมี 4 สีเช่นกัน แต่จะมีสี เทาสเปซเกรย์, สตาร์ไลท์, ม่วง และ ชมพู ก็คือ สีชมพูหายไปได้สีฟ้ามาแทน
สเปกเครื่องแรงขึ้นด้วยชิป A17 Pro
หัวใจสำคัญของ iPad Mini 7 คือชิป A17 Pro ที่เพิ่งเปิดตัวในปีที่แล้วกับ iPhone 15 Pro ที่ให้ประสิทธิภาพ CPU และ GPU ที่เร็วขึ้นอย่างมาก โดย CPU เร็วขึ้น 30% และ GPU เร็วขึ้น 25% เมื่อเทียบกับชิป A15 Bionic ใน iPad Mini 6 นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่ม RAM เป็น 8GB (ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่าจะเพิ่มเป็นเท่านี้ ซึ่งเป็นสเปคขั้นต่ำสุดสำหรับรองรับ Apple Intelligence) ซึ่งช่วยให้การทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกันทำได้ลื่นไหลยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ชิป A17 Pro ยังรองรับการเร่งความเร็วฮาร์ดแวร์สำหรับ Ray tracing และ mesh shading ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกราฟิกขั้นสูงที่ช่วยให้การแสดงผลภาพมีความสมจริงมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเล่นเกมบนแท็บเล็ต หรือทำงานด้านกราฟิกที่ต้องการความละเอียดสูง การอัปเกรดนี้ทำให้ iPad Mini 7 กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในขนาดที่กะทัดรัด
Apple Intelligence: ฟีเจอร์ AI สุดล้ำ
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ iPad Mini 7 คือการรองรับ Apple Intelligence ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในหลายด้าน ที่แม้ว่าจะยังเป็นช่วงทดสอบ และลองให้เริ่มใช้งานบ้างแล้ว มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้การทำงานบนอุปกรณ์หลายอย่างมีความชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นความสามารถแนะนำการเขียนและแก้ไขข้อความ การสร้างภาพและอิโมจิด้วย AI ช่วยให้คุณสร้างสรรค์สื่อได้ง่ายขึ้น และ Siri เวอร์ชันใหม่ที่ฉลาดขึ้นด้วยการผสานเทคโนโลยี ChatGPT ทำให้การสั่งงานด้วยเสียงมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ฟีเจอร์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วย Neural Engine ใน A14 Pro โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการใช้ iPad Mini เพื่อเพิ่มผลิตภาพในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจดบันทึก การวางแผนงาน หรือการสร้างสรรค์เนื้อหา
ว่าไปแล้ว iPad mini 7 ก็ถือเป็นตัวเลือกอุปกรณ์ของ Apple ที่ราคาถูกที่สุดที่สามารถรองรับการใช้ Apple Intelligence ได้ก็ดูจะไม่เกินจริง
พอร์ต USB-C เร็วขึ้น พร้อมรองรับ Apple Pencil Pro
iPad Mini 7 มาพร้อมพอร์ต USB-C 3.1 Gen 2 ที่เร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 2 เท่า โดยสามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วถึง 10Gbps เทียบกับ 5Gbps ในรุ่นที่ 6 ทำให้การถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น วิดีโอความละเอียดสูง หรือไฟล์งานกราฟิก ทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
รวมถึงยังรองรับการต่อออกจอภายนอกได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K 60Hz ทำให้คุณต่อใช้งานออกจอใหญ่แบบ Stage Manager คุณสามารถหาคีย์บอร์ดและเมาส์ไร้สาย เชื่อมต่อผ่าน Bluetooth และทำงานได้ประสบการณ์แบบคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังรองรับ Apple Pencil Pro รุ่นใหม่ และฟีเจอร์ hover ที่ช่วยให้การใช้ปากกาทำได้แม่นยำมากขึ้น ฟีเจอร์ hover ช่วยให้ iPad รับรู้ตำแหน่งของปากกาได้แม้ยังไม่สัมผัสหน้าจอ ทำให้การวาดภาพหรือการทำงานที่ต้องการความแม่นยำสูงทำได้ดียิ่งขึ้น
แต่ในทางกลับกัน Apple Pencil รุ่นที่ 2 ไม่สามารถใช้งานร่วมกับ iPad Mini 7 ได้แล้ว แต่ถ้าไม่อยากใช้รุ่น Pro ก็ยังมีรุ่น USB-C เป็นตัวเลือกให้อยู่
กล้องและหน่วยความจำดีขึ้น
ตัวฮาร์ดแวร์ของกล้องนั้น จริงๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ใน iPad Mini 7 จะมาพร้อมกับ Smart HDR 4 สำหรับภาพถ่ายที่ดีขึ้น เทคโนโลยีนี้ช่วยปรับแต่งภาพอัตโนมัติให้มีความสมดุลของแสงและสีที่ดีขึ้น แม้ในสภาพแสงที่ท้าทาย นอกจากนี้ยังมีแฟลช True Tone รุ่นใหม่ ที่ให้แสงธรรมชาติมากขึ้น ทำให้การถ่ายภาพและสแกนเอกสารมีคุณภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในด้านหน่วยความจำ Apple ได้เพิ่มความจุเริ่มต้นเป็น 128GB โดยไม่เพิ่มราคา มากกว่ารุ่นก่อนที่มีตัวเลือกเริ่มต้นที่ 64GB ซึ่งปัจจุบันไม่น่าจะเพียงพอสำหรับการทำงานเท่าไรนัก ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกสูงสุดถึง 512GB สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บไฟล์จำนวนมาก เช่น วิดีโอ รูปภาพ หรือแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ จึงน่าจะถูกใจสำหรับสายครีเอเตอร์ที่ชอบทำงานตัดต่อคลิปที่อาจจะไม่สะดวกกับ iPhone ที่จอขนาดเล็ก แต่ก็อยากทำงานบนอุปกรณ์ขนาดเล็กๆ ที่พกพาได้สะดวกและคล่องตัว
การเชื่อมต่อที่ดีขึ้น
iPad Mini 7 มาพร้อมกับ Bluetooth 5.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุด ให้การเชื่อมต่อที่เสถียรและประหยัดพลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ยังรองรับ Wi-Fi 6E ที่ให้ความเร็วในการเชื่อมต่อสูงขึ้นและลดความแออัดของสัญญาณในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi จำนวนมาก
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจคือการรองรับเฉพาะ eSIM เท่านั้น ซึ่งอาจเป็นข้อดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการเปลี่ยนผู้ให้บริการเครือข่าย แต่อาจเป็นข้อจำกัดสำหรับบางคนที่ยังคุ้นเคยกับการใช้ซิมการ์ดแบบเก่า
สรุป: ซื้อดีมั้ย กับ iPad Mini 7
สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ใช้งานเบาๆ เช่น ท่องเว็บ ดูหนัง หรือเล่นเกมทั่วไป การอัปเกรดเป็น iPad Mini 7 อาจไม่จำเป็นมากนัก เนื่องจาก iPad Mini 6 ยังคงมีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการใช้งานทั่วไป
แต่สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ใช้งานหนัก หรือทำงานสร้างสรรค์ แต่อยากได้ขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าไอโฟน แต่ก็ไม่ได้อยากได้ขนาดใหญ่ถึง 11 นิ้วแบบใน iPad Air
เพราะขนาดหน้าจอ 8.3 นิ้ว หน้าจอเป็นแบบ Liquid Retina ให้ขอบเขตสีกว้าง P3 ที่มีความเที่ยงตรงของสีมากขึ้น รองรับการใช้ Apple Pencil ที่ทำให้เวลาตัดคลิปวิดีโอได้แม่นยำกว่าการใช้นิ้วจิ้มบนไอโฟน เชื่อว่าสายครีเอเตอร์ที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา ถ่ายคลิปในงานอีเว้นท์แล้วต้องการตัดต่อด่วนๆ แล้วอัปโหลดขึ้นโซเชียลทันทีน่าจะชอบกัน
ส่วนสายขีดๆ เขียนๆ วาดรูปและจดบันทึก ขนาดของ iPad Mini 7 นั้นถูกใจหลายๆ คน เพราะมันมีความใกล้เคียงกับสมุดโน้ตจริงๆ ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป น้ำหนักก็ไม่ถึง 300 กรัมที่หนักกว่าไอโฟนไม่มากนัก ทำให้พกใส่ในกระเป๋าไปไหนมาไหนอีกเครื่องเพื่อทำงานได้อย่างคล่องตัว
คนที่อาจจะไม่สะดวกคือสายที่ชอบพิมพ์ เพราะตัวเครื่องที่มีขนาดเล็ก จึงไม่มีเคสแบบคีย์บอร์ดมาใช้กับ iPad mini คุณจะต้องหาคีย์บอร์ดไร้สายพกติดตัวแยกไปอีกชิ้น จะเป็นแบบขนาดปกติหรือแบบพับเก็บก็แล้วแต่สะดวก แต่ถ้าคุณไม่เน้นพิมพ์เยอะๆ นี่ก็ไม่ใช้ปัญหาอะไรที่ต้องกังวล
จะมีอย่างนึงที่อาจจะต้องรออัปเดตข้อมูลหลังจากที่เครื่องวางจำหน่าย กับปัญหาหน้าจอ jelly ที่มีผู้ใช้บ่นกันเยอะมากในรุ่นที่แล้ว เป็นอาการที่เวลาเลื่อนไถหน้าจอแล้ว จะมองเห็นตัวอักษรในภาพมีความยุกยิกกระตุกเล็กน้อย ถ้าสังเกตหน่อยก็อาจจะรู้สึกรำคาญ และจะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาอ่านพวกหน้าเว็บ อีเมล์ หรือเอกสารที่มีตัวอักษร
สรุปแล้ว iPad Mini 7 ซื้อดีมั้ย คุ้มหรือเปล่า ส่วนตัวแล้วถือว่าการอัปเกรดครั้งนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย ทำให้ไอแพดไซส์กะทัดรัดมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน 25-35% ช่วยให้ทำงานหนักๆ ได้รวดเร็วมากขึ้น รวมถึงการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึง Apple Intelligence ที่แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าชาวไทยจะได้เริ่มใช้เมื่อไหร่ แต่รองรับไว้และใช้ต่อยาวๆ ไป 2-3 ปีได้สบายๆ
สำหรับใครที่ใช้ iPad Mini 6 แล้วอยากอัปเกรด มีสิ่งนึงที่ต้องบอกคือ อย่าลืมว่า Apple Pencil รุ่นที่ 2 นั้นไม่รองรับกับ iPad Mini 7 นะ ถ้าเปลี่ยนเครื่องต้องเปลี่ยน Apple Pencil ด้วยนะ
ราคา iPad mini 7 (2024) ทุกรุ่นทุกขนาด
- รุ่น Wi-Fi ความจุ 128GB ราคา 17,900 บาท
- รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 21,900 บาท
- รุ่น Wi-Fi ความจุ 512GB ราคา 28,900 บาท
- รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 128GB ราคา 23,900 บาท
- รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 256GB ราคา 27,900 บาท
- รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 512GB ราคา 34,900 บาท
- Apple Pencil Pro ราคา 4,490 บาท
- Apple Pencil USB-C ราคา 2,990 บาท
- Smart Folio ราคา 2,290 บาท
- Apple Care+ ราคา 2,590 บาท
สเปค iPad mini 7 (2024)
- มีให้เลือก 4 สี สีฟ้า, ม่วง, สตาร์ไลท์ และเทาสเปซเกรย์
- ความจุ : 128GB 256GB 512GB
- ขนาด195.4 x 134.8 x 6.3 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 293 กรัม (Wi-Fi) 297 กรัม (Wi-Fi + Cellular)
- ลำโพงสเตอริโอ (4 ตัว) ไมโครโฟนคู่
- ปุ่มเปิดปิดเครื่องพร้อมเซ็นเซอร์ TouchID
- ขนาดหน้าจอ 8.3 นิ้ว Liquid Retina 2266 x 1488 (326 ppi) สว่างสูงสุด 500 นิต
- รองรับ Apple Pencil Pro และ รุ่น USB-C
- ชิป A17 Pro
- กล้องหลัง 12MP f/1.8 พร้อมไฟแฟลช LED ถ่ายวิดีโอ 4K 60fps
- กล้องหน้า 12MP f/2.4 ถ่ายวิดีโอ HD 60fps
- รองรับ Apple Intelligence
- ระบบไร้สาย Wi‑Fi 6E (802.11ax) พร้อม MIMO แบบ 2×2, Bluetooth 5.3
- ระบบเซลลูลาร์ 5G (sub‑6 GHz) พร้อม MIMO แบบ 4×4 ใช้เป็นแบบ eSIM
- พอร์ต USB-C มาตรฐาน USB 3 ความเร็วสูงสุด 10Gbps
- ต่อออกจอภาพภายนอกได้ 1 จอ 4K 60Hz
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok