รีวิว realme 13 5G | 13+ 5G

รีวิว realme 13 5G | 13+ 5G สมาร์ทโฟนสายเกมมิ่ง เล่นลื่นๆ 120Hz ในราคาเข้าถึงไม่ยาก

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G สมาร์ทโฟน 2 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ชูคอนเซ็ปต์ “Speed to Victory” เน้นเด่นในเรื่องของประสิทธิภาพ ที่จัดสเปคมาเอาใจสายเกมเมอร์ ตั้งแต่หน้าจอแสดงรีเฟรชเรตสูง 120Hz ขนาดใหญ่ แสดงภาพที่ลื่นไหลใหญ่เต็มตา ชิปเซ็ตที่มีประสิทธิภาพพร้อมโหมด GT ที่ปรับแต่งให้การเล่นเกมเฟรมเรต 60fps ได้อย่างเสถียร ที่สำคัญก็คือจัดราคามาแบบเข้าถึงง่าย เริ่มต้นเพียงแค่ 8,999 บาทเท่านั้น

ทีมงาน TechOffside เราได้รับ realme 13 5G และ realme 13+ 5G มาทดสอบสำหรับ รีวิว สักพักใหญ่ๆ จากที่ได้ลองใช้แล้วถือว่าปีนี้กับ Number Series รุ่นพื้นฐาน ทางเรียลมีวางตำแหน่งให้ 2 รุ่นนี้อยู่ในตำแหน่งของ “สมาร์ทโฟนเกมมิ่งในราคาไม่แรง” คือเน้นให้ประสบการณ์การเล่นเกมที่ไหลลื่น ไม่สะดุด ที่เป็นหัวใจในการเล่นเกมที่ไม่ต้องการให้ถูกขัดจังหวะในช่วงคาบลูกคาบดอกหรือต้องชิงโอกาสในช่วงวินาทีในการแข่งขันในสมรภูมิ

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

และไม่ใช่แค่เรื่องของสเปค realme 13 5G และ realme 13+ 5G ยังทำได้ดีทั้งเรื่องของการออกแบบเครื่องที่สวยงามลงตัว ระบบชาร์จเร็วทันใจ กล้องที่ถ่ายสวย รวมถึงฟีเจอร์พิเศษมากมาย รวมถึงระบบ AI ที่เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้งานรอบด้าน

แน่นอนว่า คุณคงอยากจะรู้กันแล้วว่า realme 13 5G และ realme 13+ 5G ทั้ง 2 รุ่นนี้จะโดนใจเกมเมอร์ได้แค่ไหน ตอบโจทย์ผู้ใช้ได้หรือไม่ และรุ่นไหนมีจุดเด่นและแตกต่างกันอย่างไร ใน รีวิว นี้เราจะมาบอกให้ทราบกัน

แกะกล่อง realme 13 5G | 13+ 5G

สบายใจได้นะครับ เรียลมียังคงมีอุปกรณ์ต่างๆ มาให้ครบครันไม่มีลดไม่ถอด ซื้อมาแกะกล่องพร้อมใช้งานได้ทันที ไม่ต้องไปหาซื้ออะไรเพิ่มให้วุ่นวาย

ในกล่องนอกจากตัวเครื่องแล้ว จะมีของที่แถมมาให้ในกล่องทั้งเคสใสสำหรับป้องกันตัวเครื่อง ให้คุณโชว์สีสวยๆ ของเครื่องได้แบบไม่ต้องกังวล

ส่วนอุปกรณ์สำหรับชาร์จนั้น ก็มีให้ครบทั้งอะแดปเตอร์และสายชาร์จแบบ USB-A to USB-C โดยอะแดปเตอร์ที่แถมมาให้จะเป็นมาตรฐานชาร์จเร็วอีกด้วย โดยในกล่องของ realme 13 5G จะได้เป็นแบบ 45W SUPERVOOC และ realme 13+ 5G จะเป็น 80W SUPERVOOC

การออกแบบ : สวยสะดุดตา แข็งแรงทนทาน

เมื่อพูดถึงการออกแบบ realme ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ทั้ง realme 13 5G และ 13+ 5G มาพร้อมกับดีไซน์ที่เรียกว่า “Victory Speed Design” ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากความเร็วและชัยชนะในเกมยอดนิยมอย่าง MLBB และ Free Fire

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G
รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

realme 13 5G มีความหนาเพียง 7.79 มม. ส่วน realme 13+ 5G บางเฉียบยิ่งกว่าที่ 7.6 มม. ทำให้จับถือได้อย่างสบายมือแม้ในช่วงการเล่นเกมที่ยาวนาน

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ตัวเครื่องถือว่ามีน้ำหนักเบา โดย realme 13 5G หนัก 190 กรัม และ realme 13+ 5G หนัก 185 กรัม ซึ่งถือว่าเบามากสำหรับสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh

จุดเด่นของการออกแบบอยู่ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ที่มีลวดลายพิเศษเรียกว่า “Speedy Lightning Texture” สร้างมิติและความรู้สึกพรีเมียมให้กับตัวเครื่อง realme 13 5G มีให้เลือก 2 สี คือ Speed Green และ Dark Purple ส่วน realme 13+ 5G มาในโทนสี Victory Gold และ Dark Purple ซึ่งแต่ละสีให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ทั้งสปอร์ตและหรูหรา

ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังแข็งแรงทนทาน realme 13 5G ได้รับมาตรฐานกันน้ำและฝุ่น IP64 ส่วน realme 13+ 5G ไปไกลกว่าด้วยมาตรฐาน IP65 ซึ่งหมายความว่าสามารถทนต่อการกระเซ็นของน้ำได้ดีกว่า หรือถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ตกน้ำตกท่า ก็ยังอุ่นใจได้ ทำให้ใช้งานได้อย่างสบายใจแม้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร

นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Rainwater Smart Touch ที่ช่วยให้หน้าจอสามารถแยกแยะระหว่างหยดน้ำและการสัมผัสของนิ้วมือได้อย่างแม่นยำ ทำให้ใช้งานได้แม้ในวันที่ฝนตก

อีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจคือระบบป้องกันการโจรกรรม ซึ่ง realme อ้างว่าเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรม ระบบนี้จะส่งเสียงเตือนเมื่อมีการถอดสายชาร์จ, ถอดหูฟัง หรือนำซิมการ์ดออกโดยไม่ได้รับอนุญาต และยังต้องใส่รหัสผ่านเพื่อปิดเครื่องหรือเข้าถึงข้อมูลสำคัญ

โดยรวมแล้ว การออกแบบของ realme 13 5G และ 13+ 5G นั้นสวยงาม ทันสมัย และคำนึงถึงการใช้งานจริง ทั้งยังมีความทนทานที่น่าประทับใจ ซึ่งถือเป็นจุดขายสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่ไม่เพียงแต่สเปคดี แต่ยังดูดีและใช้งานได้ยาวนาน

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

หน้าจอ : ลื่นไหลและสบายตา

realme 13 5G มาพร้อมกับหน้าจอ LCD ขนาด 6.72 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ (2400 x 1080 พิกเซล) ส่วน realme 13+ 5G ยกระดับไปอีกขั้นด้วยหน้าจอ OLED E4 ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียดเท่ากัน แต่ให้สีสันที่สดใสและคมชัดกว่า ด้วยอัตราส่วนคอนทราสต์สูงถึง 6,000,000:1

จุดเด่นของทั้งสองรุ่นอยู่ที่อัตรารีเฟรช 120Hz ทำให้การเลื่อนหน้าจอ การเปลี่ยนแอพ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นเกม มีความลื่นไหลอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ ยังมีอัตราการตอบสนองต่อการสัมผัส (Touch Sampling Rate) สูงถึง 240Hz ใน realme 13 5G และ 360Hz ใน realme 13+ 5G ซึ่งช่วยให้การควบคุมในเกมแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ที่น่าสนใจคือ realme 13+ 5G มาพร้อมกับ Turbocharged Touch Sampling Rate สูงถึง 1200Hz ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากสำหรับสมาร์ทโฟนในระดับราคานี้ ช่วยให้การตอบสนองต่อการสัมผัสรวดเร็วเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเกมที่ต้องการความแม่นยำสูง

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ในด้านความสว่าง realme 13 5G ให้ความสว่างสูงสุดที่ 580 nits ส่วน realme 13+ 5G ทำได้ดีกว่ามากด้วยความสว่างปกติที่ 600 nits และสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 1200 nits ในโหมด HBM (High Brightness Mode) และสูงสุดถึง 2000 nits ในบางพื้นที่ของหน้าจอ ทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนแม้ในที่แจ้งกลางแดด

ทั้งสองรุ่นให้ความสำคัญกับการปกป้องสายตาของผู้ใช้ ด้วยเทคโนโลยี Eye Comfort Display ที่ช่วยลดแสงสีฟ้าซึ่งเป็นสาเหตุของความเมื่อยล้าของดวงตา realme 13+ 5G มีการปรับระดับความสว่างอัตโนมัติถึง 10,000 ระดับ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและช่วยลดการกะพริบของหน้าจอ

นอกจากนี้ realme 13+ 5G ยังรองรับการแสดงผลแบบ Pro-XDR ซึ่งเป็เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความสว่างและคอนทราสต์ในพื้นที่เฉพาะของภาพ ทำให้ภาพดูมีมิติและสมจริงมากขึ้น

โดยสรุป หน้าจอของ realme 13 5G และ 13+ 5G นั้นตอบโจทย์ทั้งในแง่ของความสวยงามและการใช้งาน โดยเฉพาะสำหรับการเล่นเกมและการรับชมวิดีโอ ในขณะเดียวกันก็ใส่ใจสุขภาพตาของผู้ใช้ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีการแข่งขันสูง

ประสิทธิภาพ : จัดมาให้สำหรับเกมเมอร์

realme 13 5G ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6300 ที่ผลิตด้วยกระบวนการ 6 นาโนเมตร ประกอบด้วย CPU แบบ 2 x Cortex A76 ความเร็ว 2.4 GHz และ 6 x Cortex A55 ความเร็ว 2.0 GHz พร้อม GPU ARM G57 MC2 ชิปเซ็ตนี้ทำคะแนน AnTuTu ได้สูงถึง 460,000 คะแนน ซึ่งถือว่าโดดเด่นในระดับราคานี้

ส่วน realme 13+ 5G ยกระดับไปอีกขั้นด้วยชิปเซ็ต Dimensity 7300 ที่ผลิตด้วยกระบวนการ 4 นาโนเมตร มาพร้อมกับ CPU 4 x Cortex A78 ความเร็ว 2.5 GHz ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยทำคะแนน AnTuTu ได้มากกว่า 750,000 คะแนน ซึ่งเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนระดับเรือธงบางรุ่นเลยทีเดียว

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับ RAM แบบ LPDDR4X ขนาด 12GB และสามารถขยายได้สูงสุดถึง 26GB ด้วยเทคโนโลยี RAM แบบไดนามิก (12GB RAM จริง + 14GB RAM เสมือน) ซึ่งช่วยให้การทำงานหลายแอพพร้อมกันเป็นไปอย่างราบรื่น โดย realme 13 5G สามารถเปิดแอพพื้นหลังได้ถึง 27 แอพ ส่วน realme 13+ 5G เปิดได้ถึง 32 แอพ

ในด้านพื้นที่จัดเก็บข้อมูล realme 13 5G มาพร้อมกับ ROM แบบ UFS 2.2 ความจุ 256GB ส่วน realme 13+ 5G ใช้ UFS 3.1 ความจุ 512GB ซึ่งให้ความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลที่สูงกว่า

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

จุดเด่นของทั้งสองรุ่นคือ โหมด GT ที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ เมื่อเปิดใช้งานโหมดนี้ ระบบจะปรับแต่งการทำงานของ CPU และ GPU ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งจัดการทรัพยากรของระบบให้เหมาะสมกับการเล่นเกม ทำให้สามารถรักษาอัตราเฟรมที่ 60fps ได้อย่างเสถียรในเกมยอดนิยมอย่าง MLBB และ Free Fire

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์พิเศษอื่น ๆ เช่น การเริ่มต้นเกมอย่างรวดเร็ว, หน่วยความจำเฉพาะสำหรับการเล่นเกม, และโหมดโฟกัสเกมที่ช่วยบล็อกการแจ้งเตือนระหว่างเล่นเกม ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ทั้ง realme 13 5G และ 13+ 5G ยังมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ realme UI 5.0 บนพื้นฐานของ Android 14 ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน เช่น AI Smart Loop ที่ช่วยในการแชร์เนื้อหาระหว่างแอพได้อย่างรวดเร็ว และ AI Smart Hotspots ที่ช่วยจัดการการเชื่อมต่อฮอตสปอตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยสรุปแล้ว ทั้ง realme 13 5G และ 13+ 5G นำเสนอประสิทธิภาพที่น่าประทับใจในระดับราคานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมและต้องการสมาร์ทโฟนที่ตอบสนองรวดเร็วในทุกการใช้งาน แม้ว่า realme 13+ 5G จะมีข้อได้เปรียบในด้านประสิทธิภาพ แต่ realme 13 5G ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสมดุลระหว่างประสิทธิภาพและราคา

ระบบระบายความร้อน : อาวุธลับที่ให้คุณเล่นเกมได้อย่างเสถียร

realme 13 5G มาพร้อมกับระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำสแตนเลส (Stainless Steel Vapor Cooling System) ที่มีพื้นที่ระบายความร้อนขนาดใหญ่ถึง 2,249 ตารางมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในกลุ่มผลิตภัณฑ์เดียวกัน ระบบนี้ช่วยกระจายความร้อนออกจากชิปเซ็ตและส่วนประกอบสำคัญอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ส่วน realme 13+ 5G นั้น ยกระดับไปอีกขั้นด้วยระบบระบายความร้อนด้วยไอระเหยจากสแตนเลสสตีล (Stainless Steel Vapor Cooling System) ที่มีพื้นที่ระบายความร้อนใหญ่ถึง 6,050 ตารางมิลลิเมตร ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 37% ระบบนี้ใช้เทคโนโลยีและวัสดุการระบายความร้อนเดียวกับรุ่น GT 6 ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนระดับสูงของ realme

ความน่าสนใจของระบบระบายความร้อนนี้อยู่ที่การใช้ห้องไอระเหยสแตนเลส ซึ่งมีประสิทธิภาพในการนำความร้อนสูงกว่าแผ่นกราไฟต์ทั่วไปถึงสองเท่า ทำให้สามารถลดอุณหภูมิในพื้นที่หลักของอุปกรณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในการทดสอบจริง realme อ้างว่า realme 13+ 5G สามารถรักษาอุณหภูมิได้ต่ำกว่าคู่แข่งถึง 2-3°C หลังจากการเล่นเกมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง นอกจากนี้ ความเสถียรของอัตราเฟรมในการเล่นเกมยังสูงกว่าคู่แข่งถึง 50%

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ระบบระบายความร้อนนี้ทำงานร่วมกับ โหมด GT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยช่วยให้สมาร์ทโฟนสามารถรักษาประสิทธิภาพสูงสุดได้เป็นเวลานาน แม้ในระหว่างการเล่นเกมที่ต้องการทรัพยากรสูง ผู้ใช้จึงสามารถเพลิดเพลินกับการเล่นเกมที่ 60fps ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความร้อน

นอกจากนี้ ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพยังช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ในระยะยาว เนื่องจากความร้อนที่สูงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อส่วนประกอบภายในของสมาร์ทโฟนได้

เราได้ทดสอบในการเล่นเกมบน realme 13+ 5G ในหลายเกม ถือว่าให้ประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีเลยทีเดียว โดยเลือกเปิดเป็นโหมด GT เพื่อให้ประสิทธิภาพการเล่นเกมที่ดีที่สุด โดยได้ลองกับ PUBG Mobile ที่เลือกปรับเฟรมเรตที่ดีที่สุด ในการเล่นทั้งแมทช์ ภาพและการเล่นคือลื่นๆ ไม่กระตุก การแตะสัมผัสที่แม่นยำ รวมถึงตัวอุณหภูมิระหว่างที่เล่นก็ไม่ได้สูงมาก

แบตเตอรี่และการชาร์จ: ใช้งานยาวๆ ได้ตลอดวัน

ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5000 mAh ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวันโดยไม่ต้องกังวล แม้จะใช้งานหนักอย่างการเล่นเกมหรือสตรีมวิดีโอ โดย realme บอกว่าสามารถเล่นเกม Free Fire ได้ต่อเนื่องนานถึง 7 ชั่วโมง หรือหากเป็นการใช้งานทั่วไป ก็สามารถอยู่ได้ตลอดทั้งวันสบายๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเทคโนโลยีการชาร์จเร็ว realme 13 5G มาพร้อมกับระบบชาร์จเร็ว 45W SUPERVOOC ซึ่งสามารถชาร์จจาก 0% เป็น 50% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที

ส่วน realme 13+ 5G นั้นไปไกลกว่าด้วยระบบชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จจาก 1% เป็น 50% ได้ในเวลาเพียง 18 นาที และชาร์จเต็มในเวลา 46 นาที

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ที่น่าประทับใจคือ แม้จะชาร์จเร็ว แต่ realme ก็ไม่ละเลยเรื่องความปลอดภัย ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับระบบป้องกันความปลอดภัยในการชาร์จถึง 38 ชั้น ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับแบตเตอรี่และอุปกรณ์ และยังให้ความสำคัญกับอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในระยะยาว โดย realme 13 5G รับประกันว่าหลังจากการชาร์จและคายประจุครบ 1,600 รอบ (ประมาณ 4 ปีของการใช้งาน) แบตเตอรี่จะยังคงเหลือความจุที่มีประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่า 80% ส่วน realme 13+ 5G นั้นรับประกันที่ 1,000 รอบ (ประมาณ 3 ปี) ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ ใช้งานยาวๆ หลายปีแบบไม่ต้องกลัวเรื่องแบตเสื่อมก่อนเวลา

จุดเด่นอีกอย่างของ realme 13+ 5G คือ การชาร์จเร็วแบบ “ชาร์จ 5 นาที ใช้งานได้ 1 ชั่วโมง” ถือว่าเป็นอีกข้อดีสำหรับเกมเมอร์ที่เล่นเกมต่อเนื่องหลายแมทช์แล้วแบตเหลือน้อย ก็ใช้เวลาพักกินน้ำกินขนมเข้าห้องน้ำ แล้วชาร์จแบตเพิ่มเพื่อเล่นเกมต่อได้อย่างอย่างรวดเร็ว

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับโหมดประหยัดพลังงานที่ช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้มากขึ้น และฟีเจอร์การเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสม

โดยสรุปแล้ว ทั้ง realme 13 5G และ 13+ 5G นำเสนอประสบการณ์ด้านแบตเตอรี่และการชาร์จที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะ realme 13+ 5G ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการชาร์จเร็วที่ล้ำสมัย อย่างไรก็ตาม realme 13 5G ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการสมดุลระหว่างความเร็วในการชาร์จและราคาที่เข้าถึงได้

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ระบบกล้อง : ถ่ายสวยสะกดทุกโมเมนต์

เรื่องกล้องทางเรียลมีไม่ได้ชูเป็นจุดเด่นสำหรับรุ่นนี้ แต่จากที่เราทดสอบลองใช้ใน รีวิว นี้ ถือว่าทำได้ดีน่าพอใจอยู่ไม่น้อย โดยที่ realme 13 5G มาพร้อมกับกล้องหลัก Samsung S5KJNS ความละเอียด 50MP พร้อมรูรับแสง f/1.8 ซึ่งให้ภาพถ่ายที่คมชัดและสวยงามในทุกสภาพแสง นอกจากนี้ ยังมีกล้อง Mono 2MP ที่ช่วยเพิ่มรายละเอียดและความลึกให้กับภาพถ่าย

ส่วน realme 13+ 5G นั้นยกระดับไปอีกขั้นด้วยกล้องหลัก Sony LYT-600 ความละเอียด 50MP ที่มีขนาดเซ็นเซอร์ใหญ่ถึง 1/1.95 นิ้ว พร้อมรูรับแสง f/1.8 ซึ่งให้ภาพถ่ายที่มีรายละเอียดสูง สีสันสมจริง และประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมแม้ในสภาพแสงน้อย

จุดเด่นสำคัญของทั้งสองรุ่นคือระบบกันสั่นแบบออปติคอล (OIS) ซึ่งช่วยลดอาการสั่นไหวของภาพ ทำให้ภาพถ่ายและวิดีโอมีความคมชัดมากขึ้น โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อยหรือเมื่อถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหว

ในด้านการถ่ายวิดีโอ realme 13 5G สามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 2K ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับราคานี้ ส่วน realme 13+ 5G นั้นสามารถบันทึกวิดีโอความละเอียด 4K ได้ ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับ OIS ที่ช่วยให้การถ่ายวิดีโอมีความนิ่งและมืออาชีพมากขึ้น

realme 13+ 5G ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Light Fusion Engine ที่ใช้อัลกอริธึม AI ในการประมวลผลข้อมูลภาพดิบโดยตรงในโดเมน RAW เพื่อเพิ่มคุณภาพของภาพโดยไม่สูญเสียรายละเอียด ทำให้ภาพถ่ายมีความละเอียดและเนื้อสัมผัสที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นภาพกลางคืนหรือภาพ HDR

สำหรับการถ่ายภาพบุคคล ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพบุคคลที่ให้เอฟเฟกต์การเบลอฉากหลังที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ โดย realme 13+ 5G มีความสามารถในการซูมแบบไม่เสียคุณภาพ (lossless zoom) ถึง 2 เท่า ซึ่งช่วยให้สามารถถ่ายภาพบุคคลได้หลากหลายมุมมองมากขึ้น

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ในส่วนของกล้องหน้า realme 13 5G มีกล้องความละเอียด 16MP ส่วน realme 13+ 5G ก็มีกล้องหน้าความละเอียด 16MP เช่นกัน แต่มาพร้อมกับเทคโนโลยี AI ที่ช่วยปรับแต่งภาพเซลฟี่ให้สวยงามและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพอัจฉริยะที่หลากหลาย เช่น โหมดกลางคืน, โหมด HDR, โหมดถ่ายภาพพาโนรามา และโหมดถ่ายภาพมาโคร ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ภาพถ่ายได้หลากหลายรูปแบบ

โดยสรุปแล้ว ทั้ง realme 13 5G และ 13+ 5G นำเสนอระบบกล้องที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะ realme 13+ 5G ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีระดับเรือธง ทำให้ผู้ใช้สามารถบันทึกทุกช่วงเวลาสำคัญด้วยคุณภาพระดับมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพหรือการบันทึกวิดีโอ

แต่แอบเสียดายนิดหน่อยตรงที่ไม่มีกล้องมุมมองกว้าง Ultra-wide มาให้ ทำให้บางโอกาสที่อยากได้ภาพมุมมองกว้างๆ ลำบากนิดหน่อย แต่สำหรับสายถ่ายพอร์ตเทรตนั้น ใช้งานถ่ายได้เพลินดีมาก ที่ปรับระยะเลนส์ 2x ที่ให้มิติมุมมองภาพที่สวยและหลากหลายมากขึ้น

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องของ realme 13 5G และ 13+ 5G

ฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจใน realme 13 5G และ 13+ 5G

  • NFC รอบทิศทาง 360° ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับ NFC รอบทิศทาง 360° ซึ่งเพิ่มพื้นที่การสแกนเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับ NFC แบบทั่วไป ช่วยให้การใช้งาน NFC สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงิน การเชื่อมต่ออุปกรณ์ หรือการแชร์ข้อมูล ผู้ใช้สามารถสแกนได้จากทุกมุมของส่วนบนของโทรศัพท์โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดตำแหน่ง
  • ท่าทางควบคุมด้วยมือ (Air Gestures) ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมสมาร์ทโฟนได้โดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอ เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่มือไม่ว่างหรือไม่สะดวกในการสัมผัสหน้าจอ เช่น การเลื่อนดูวิดีโอใน TikTok, YouTube, หรือ Instagram การรับสายโทรศัพท์ หรือแม้แต่การปิดเสียงโทรศัพท์
  • AI Smart Loop เทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้การแชร์เนื้อหาระหว่างแอพเป็นไปอย่างรวดเร็วและสะดวก โดยระบบจะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้และแนะนำแอพที่เหมาะสมสำหรับการแชร์เนื้อหานั้นๆ ช่วยลดขั้นตอนและประหยัดเวลาในการทำงาน
  • AI Smart Hotspots ฟีเจอร์นี้ช่วยจัดการการเชื่อมต่อฮอตสปอตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยปรับแต่งการทำงานให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ ช่วยประหยัดพลังงานและรักษาความเร็วในการเชื่อมต่อ
  • Free Call (เฉพาะ realme 13+ 5G) ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถโทรออกได้แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารระยะใกล้ สามารถใช้งานได้ในระยะไกลถึง 210 เมตรในชั้นใต้ดิน หรือ 85 เมตรในป่า ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • realme UI 5.0 ระบบปฏิบัติการที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Android 14 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย เช่น การปรับแต่งหน้าจอล็อคที่มากขึ้น, ระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้น และการจัดการแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยสรุปแล้ว ทั้ง realme 13 5G และ 13+ 5G ที่แม้ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลางรุ่นพื้นฐาน แต่ก็มีฟีเจอร์ที่หลากหลายและตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นด้านความสะดวกสบาย ความปลอดภัย หรือประสิทธิภาพการทำงาน

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

สรุป รีวิว realme 13 5G vs realme 13+ 5G เลือกรุ่นไหนให้เหมาะกับคุณ

ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับจุดเด่นที่แตกต่างกัน ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่หลากหลาย มาดูกันว่าแต่ละรุ่นเหมาะกับใครและโดดเด่นในด้านไหนบ้าง

realme 13 5G ถือเป็นทางเลือกที่ลงตัวสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้ ด้วยชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 6300 ที่ให้ประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกมระดับกลาง หน้าจอ LCD ขนาด 6.72 นิ้วพร้อมอัตรารีเฟรช 120Hz ก็ให้ประสบการณ์การรับชมที่ลื่นไหล เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบดูวิดีโอหรือเล่นเกมเป็นประจำ ระบบกล้อง 50MP พร้อม OIS ก็ถ่ายภาพได้คมชัด ในขณะที่ระบบชาร์จเร็ว 45W ก็ช่วยให้กลับมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว

ทางด้านของ realme 13+ 5G เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพระดับพรีเมียมในราคาระดับกลาง ด้วยชิปเซ็ต Dimensity 7300 ให้พลังการประมวลผลที่สูงกว่า รองรับการเล่นเกมที่ต้องการทรัพยากรสูงได้อย่างลื่นไหล หน้าจอ OLED E4 ขนาด 6.67 นิ้วให้สีสันที่สดใสและคมชัดกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการรับชมคอนเทนต์คุณภาพสูง ระบบกล้อง 50MP ที่ใช้เซ็นเซอร์จาก Sony LYT-600 พร้อม OIS ให้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพสูงกว่า โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อย ส่วนระบบชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC คือเร็วทันใจมากๆ

สำหรับนักเล่นเกมตัวยง realme 13+ 5G น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า ด้วยระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้รักษาประสิทธิภาพได้ดีแม้ในการเล่นเกมที่ยาวนาน นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Free Call ที่ช่วยให้โทรออกได้แม้ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ชอบเดินทางหรือต้องการความปลอดภัยเพิ่มเติม

รีวิว realme 13 5G และ realme 13+ 5G

ในแง่ของการถ่ายภาพและวิดีโอ แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะมีความละเอียดกล้องหลักเท่ากันที่ 50MP แต่ realme 13+ 5G มีข้อได้เปรียบด้วยเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่าและเทคโนโลยี Light Fusion Engine ทำให้ได้ภาพที่มีรายละเอียดและสีสันที่ดีกว่า โดยเฉพาะในสภาพแสงน้อย เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพและต้องการคุณภาพระดับมืออาชีพ

สำหรับผู้ที่ใช้งานทั่วไปและไม่ต้องการฟีเจอร์พิเศษมากนัก realme 13 5G ก็เพียงพอและคุ้มค่ากว่า ให้ประสิทธิภาพที่ดีในราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า แต่หากคุณเป็นผู้ที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานระดับพรีเมียม ทั้งในด้านประสิทธิภาพ การถ่ายภาพ และฟีเจอร์พิเศษต่างๆ realme 13+ 5G ก็คุ้มค่ากับราคาที่สูงขึ้น

โดยสรุป ทั้ง realme 13 5G และ realme 13+ 5G ต่างก็มีจุดเด่นของตัวเอง การเลือกรุ่นใดนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของแต่ละคน แต่ไม่ว่าจะเลือกรุ่นไหน คุณก็จะได้สมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบโจทย์การใช้งานในยุคปัจจุบัน และคุ้มค่ากับราคาอย่างแน่นอน

โปรโมชัน ราคาและการวางจำหน่าย

 realme 13+ 5G ความจุ 512/12GB ราคา 13,999 บาท และ 256/12GB ราคา 11,999 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Victory Gold และ Dark Purple สามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง สามารถพรีออเดอร์ได้ทุกช่องทางตั้งเเต่วันที่ 17 – 24 ตุลาคมและจำหน่ายวันแรกวันที่ 25 ตุลาคมเป็นต้นไป

  • ช่องทางโอเปอเรเตอร์ True และ Dtac ในรุ่นความจุ 256/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 6,699 บาท และรุ่นความจุ 512/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 8,499 บาท และช่องทาง AIS รุ่นความจุ 256/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 7,799 บาท และรุ่นความจุ 512/12GB ราคาเริ่มต้นเพียง 8,499 บาท รับฟรี realme Buds T01, realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 10,497 บาท
  • ช่องทางตัวแทนจำหน่าย Banana, BKK, Kingkong, IT City, CSC, TG, Jaymart, Maxlink, Stamp และ Advice รับฟรี realme Buds T01, realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 10,497 บาท
  • ช่องทางอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ Tiktok Shop รับฟรีคูปองส่วนลด 1,000 บาท, realme Buds T01, realme Gift Box พร้อมประกันจอแตก 1 ปี และ PUBG VIP Item Code Card (พิเศษ! ในช่วงพรีออเดอร์สำหรับความจุ 12+512GB Exclusive เฉพาะ Shopee เท่านั้น)

realme 13 5G ความจุ 256/12GB ราคา 8,999 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Speed Green และ Dark Purple สามารถเป็นเจ้าของได้ผ่านช่องทาง สามารถพรีออเดอร์ได้ทุกช่องทางตั้งเเต่วันที่ 17 – 24 ตุลาคมและจำหน่ายวันแรกวันที่ 25 ตุลาคมเป็นต้นไป

  • ช่องทางโอเปอเรเตอร์ True และ Dtac ในราคาเริ่มต้นเพียง 5,499 บาท และ AIS ในราคาเริ่มต้นเพียง 6,049 บาท พร้อมรับฟรี realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 7,898 บาทในทุกช่องทาง
  • ช่องทางตัวแทนจำหน่าย Banana, BKK, Kingkong, IT City, CSC, TG, Jaymart, Maxlink, Stamp และ Advice พร้อมรับฟรี realme Giftbox และประกันจอแตก 1 ปี รวมมูลค่า 7,898 บาทในทุกช่องทาง
  • ช่องทางอีคอมเมิร์ซ Shopee, Lazada และ Tiktok Shop รับฟรีคูปองส่วนลด 1,000 บาท, realme Buds T01, realme Gift Box พร้อมประกันจอแตก 1 ปี และ PUBG VIP Item Code Card 

รีวิว realme 13 5G | 13+ 5G
รีวิว realme 13 5G | 13+ 5G สมาร์ทโฟนสายเกมมิ่ง เล่นลื่นๆ 120Hz ในราคาเข้าถึงไม่ยาก
สมาร์ทโฟน 5G ดีไซน์สวย เน้นสเปคที่ปรับแต่งมาสำหรับการเล่นเกมและใช้งานที่ไหลลื่น ทั้งหน้าจอ 120Hz ชิปเซตและสเปคที่มีโหมด GT ในการเล่นเกมที่เสถียร ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
ดีไซน์ การออกแบบ
80
ประสิทธิภาพ
75
ฟีเจอร์
75
กล้อง
70
ความคุ้มค่า
75
Reader Rating0 Votes
0
จุดเด่น
หน้าจอ 120Hz ขนาดใหญ่เต็มตา ดูคอนเทนต์ เล่นเกมลื่นไหล
ระบบชาร์จเร็ว แบตเตอรี่ 5000mAh ใช้งานได้เต็มวัน
โหมด GT ที่ปรับแต่งให้การเล่นเกมมีความเสถียร เฟรมเรตนิ่ง
กล้อง 50MP พร้อมเทคโนโลยีการปรับแต่งภาพที่สวย
ข้อสังเกต
กล้องไม่มี Ultra-wide
75

Blogger สาย Multi Function ตามติดเทคโนโลยีมือถือ, แท็บเล็ต, แอพ, เกมคอนโซล, โลกโซเชียล และจักรยาน