NVIDIA ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปีงบประมาณ 2025 สิ้นสุด ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2024 ด้วยรายได้รวมสูงถึง 35.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อนหน้า และพุ่งสูงขึ้นถึง 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในตลาดการประมวลผล AI
ความสำเร็จครั้งนี้นำโดยกลุ่มธุรกิจ Data Center ที่สร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 30.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 17% จากไตรมาสก่อน และ 112% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยหลักจากความต้องการชิป H100 และความคาดหวังต่อชิป Blackwell รุ่นใหม่ที่กำลังเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบ
เจนเซน หวง ผู้ก่อตั้งและ ซีอีโอของ NVIDIA กล่าวว่า “ยุคแห่ง AI กำลังเดินหน้าเต็มกำลัง ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สู่การประมวลผลด้วย NVIDIA ทั่วโลก ความต้องการชิป Hopper และความคาดหวังต่อ Blackwell ที่กำลังผลิตเต็มกำลังนั้นสูงมาก จากผู้พัฒนาโมเดล AI ที่ต้องการขยายการเทรนนิ่ง โพสต์-เทรนนิ่ง และการอนุมาน”
บริษัทยังประสบความสำเร็จในธุรกิจเกมและ AI PC โดยมีรายได้ 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสก่อน และ 15% จากปีที่แล้ว ขณะที่ธุรกิจ Professional Visualization มีรายได้ 486 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 7% จากไตรมาสก่อน และ 17% จากปีที่แล้ว
ในส่วนของธุรกิจยานยนต์และหุ่นยนต์ บริษัทสร้างรายได้ 449 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาสก่อน และ 72% จากปีที่แล้ว โดยมีความร่วมมือกับ Volvo ในการพัฒนารถ SUV ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ใช้การประมวลผลของ NVIDIA
NVIDIA ยังได้ประกาศความสำเร็จที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่:
- การเปิดตัวซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก ขับเคลื่อนด้วยชิป NVIDIA H100 Tensor Core จำนวน 1,528 ตัว
- ความร่วมมือกับ T-Mobile, Ericsson และ Nokia ในการเร่งการพัฒนา AI-RAN สำหรับเครือข่ายโทรคมนาคม
- การร่วมมือกับ Foxconn ในการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่เร็วที่สุดของไต้หวันด้วยเทคโนโลยี Blackwell
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 4 ปีงบประมาณ 2025 บริษัทคาดการณ์รายได้ที่ 37.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (บวกลบ 2%) พร้อมอัตรากำไรขั้นต้นที่ 73.0% สำหรับ GAAP และ 73.5% สำหรับ non-GAAP โดยมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานประมาณ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับ GAAP และ 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับ non-GAAP
ข้อมูลจาก : NVIDIA Newsroom
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok