นี่คือ รีวิว OPPO Find X8 และ Find X8 Pro สมาร์ตโฟนในซีรีส์ที่เว้นวรรคจากตลาดโลกมา 2 ปี เชื่อเลยว่ามีแฟนๆ คิดถึง (รวมถึงตัวผมด้วย) ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นระดับเรือธง ที่เด่นครบทุกด้าน ตั้งแต่การออกแบบสวยพรีเมียม, ประสิทธิภาพระดับแนวหน้า, ประสบการณ์ใช้งานลื่นไหล, กล้องที่ถ่ายออกมาน่าประทับใจ
ทั้ง 2 รุ่นนี้อยู่ในสมาร์ตโฟนตระกูล Find X8 Series ที่ครั้งนี้มาพร้อมสโลแกน “Standard Flagship, Ultra Experience” สะท้อนวิสัยทัศน์ของ OPPO ในการพัฒนาสมาร์ตโฟนที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทุกระดับ โดย Find X8 Pro มาพร้อมนวัตกรรมระดับโลกอย่างกล้อง Periscope Telephoto คู่เป็นครั้งแรก และหน้าจอ Infinite View ที่โค้งทั้ง 4 ด้าน ในขณะที่ Find X8 รุ่นมาตรฐานก็ไม่ธรรมดา ด้วยดีไซน์เรียบหรูหน้าจอแบนที่มีขอบบางที่สุดในบรรดาสมาร์ตโฟน OPPO ทุกรุ่นตอนนี้
จุดเด่นสำคัญของทั้งสองรุ่นอยู่ที่ระบบกล้องและ AI ที่ทรงพลัง Find X8 Pro มาพร้อมกล้อง 50MP ทั้ง 4 ตัว รวมถึงกล้อง Periscope คู่ที่ระยะ 73mm และ 135mm ส่วน Find X8 มากับกล้อง 50MP 3 ตัว พร้อมกล้อง Periscope ที่ระยะ 73mm ทั้งคู่รองรับ AI Telescope Zoom ที่ซูมได้ไกลถึง 120 เท่า และ Hasselblad Portrait Mode ที่ได้รับการอัพเกรด
ด้านประสิทธิภาพ ทั้งสองรุ่นมาพร้อมชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9400 ที่ผลิตด้วยกระบวนการ 3nm รุ่นแรกของโลก มอบพลังการประมวลผลที่เหนือกว่า ทั้ง CPU เร็วขึ้น 35% และ GPU เร็วขึ้น 41% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
ในด้านแบตเตอรี่ Find X8 Pro มาพร้อมความจุ 5,910mAh ส่วน Find X8 มีขนาด 5,630mAh ทั้งคู่รองรับการชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC และชาร์จไร้สาย 50W AIRVOOC พร้อมระบบ ColorOS 15 ที่ดีไซน์ใหม่ สวยงามในการใช้งาน และได้เพิ่มฟีเจอร์ AI แบบจัดเต็มทั้งด้านภาษา, การค้นหา, การสร้างสรรค์ และการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นได้อย่างไร้รอยต่อ
OPPO ตั้งใจวางตำแหน่งให้ Find X8 Series เป็นสมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิปที่มอบประสบการณ์เหนือระดับ โดย Find X8 Pro เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนที่ดีขั้นสุดทั้งด้านกล้องและนวัตกรรม ส่วน Find X8 ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนประสิทธิภาพสูงในราคาที่จับต้องได้
รีวิว OPPO Find X8 และ Find X8 Pro ทีมงาน TechOffside เราได้ลองใช้งานกันแบบจริงๆ จังๆ ประมาณอาทิตย์กว่า ต้องบอกว่า 2 ปีที่รอมานั้น ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะได้รับการพัฒนาในทุกด้านขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ และ AI ที่ให้มานั้น ถือว่าครบเครื่องและทำงานได้อย่างน่าพอใจ
กล้องระดับ Ultra เสริมแกร่งด้วย AI
OPPO Find X8 Series มาพร้อมระบบกล้อง Hasselblad Master รุ่นล่าสุด ที่ทางออปโป้ร่วมกันพัฒนากับแบรนด์กล้องระดับตำนานของโลกอย่าง Hasselblad ที่ในรุ่นนี้ดีขึ้นทั้งเรื่องโทนสี มีระยะเลนส์ให้ใช้หลากหลายครบทุกช่วง และเพิ่มความเหนือชั้นด้วย AI ที่เข้ามาช่วยในทุกขั้นตอนของการถ่ายภาพ
ก่อนอื่นมาดูสเปคกล้องของทั้ง 2 รุ่นนี้กันก่อน
Find X8 Pro โดดเด่นด้วยกล้องความละเอียด 50MP ทั้ง 4 ตัว ประกอบด้วย
- กล้องหลัก: เซ็นเซอร์ Sony LYT808 ขนาด 1/1.4″ รูรับแสง f/1.6 พร้อม OIS
- กล้อง Ultra-Wide: Samsung ISOCELL JN5 ขนาด 1/2.75″ รูรับแสง f/2.0 ระยะโฟกัสใกล้สุด 3.5 ซม.
- กล้อง Periscope Telephoto คู่: • Sony LYT600 ขนาด 1/1.95″ ระยะ 73mm (3x) • Sony IMX858 ขนาด 1/2.51″ ระยะ 135mm (6x)
Find X8 ก็มาพร้อมกล้อง 50MP ถึง 3 ตัว
- กล้องหลัก: Sony LYT700 ขนาด 1/1.56″ รูรับแสง f/1.8 พร้อม OIS
- กล้อง Ultra-Wide: Samsung JN5 เช่นเดียวกับ Pro
- กล้อง Periscope Telephoto: Sony LYT600 ระยะ 73mm (3x)
จะเห็นได้ว่าจุดเด่นแรกที่น่าสนใจในเรื่องของกล้องก็คือ กล้องหลังทุกเลนส์ ให้มาความละเอียดเท่ากันที่ 50MP ถือว่าเป็นความละเอียดที่สูงสำหรับสมาร์ตโฟนยุคปัจจุบัน และการที่ทุกตัวความละเอียดเท่ากัน ทำให้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องของการทำงานปรับแต่งและความคมชัดที่ต่างกันอีกต่อไป
นวัตกรรมกล้อง Periscope
OPPO ถือว่าเป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนลำดับแรกๆ ของโลกที่นำเอาระบบกล้อง Periscope มาใช้สำหรับการซูมระยะไกลได้คมชัด และครั้งนี้ Find X8 Pro ก็สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกล้อง Periscope Telephoto คู่ ที่มีประสิทธิภาพในการซูมดีขึ้น รวมถึงการออกแบบโครงสร้างภายในใหม่ ทำให้ระบบกล้องบางลงถึง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน แต่ยังคงคุณภาพภาพถ่ายระดับสูงสุด
AI Telescope Zoom
ทั้งสองรุ่นมาพร้อม AI Telescope Zoom มาเป็นตัวช่วยให้การซูมด้วยสมาร์ตโฟน สุดยอดกว่าที่เคยมีมา โดยเมื่อปรับระยะการซูมที่เกิน 10 เท่า ระบบนี้ก็จะเปิดใช้งานให้อัตโนมัติ (แต่ก็เลือกปิดได้นะ) โดยใช้ความละเอียด 50MP เต็มรูปแบบของกล้อง Telephoto ผสานกับ AI เพื่อรักษารายละเอียดภาพแม้ซูมไกล โดยทำได้ไกลถึง 120 เท่า เหมาะสำหรับการถ่ายภาพคอนเสิร์ต ทิวทัศน์ หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ตัวอย่างภาพถ่ายซูมตั้งแต่ระยะ 15mm -2700mm
นอกจากนี้ยัมีเพิ่มโหมดซีนที่เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการซูมระยะไกลอย่าง Stage สำหรับถ่ายงานแสดงคอนเสิร์ตที่มีแสงสี Silhouette ถ่ายย้อนแสงยามพระอาทิตย์ตก และ Firework สำหรับการถ่ายพลุ ถือว่า OPPO มองเห็นความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง และใส่เครื่องมือเพื่อตอบโจทย์การใช้งานเพื่อความง่าย แค่เลือกโหมด ลากซูม แล้วก็ถ่ายได้เลย
ตัวอย่างภาพถ่ายในโหมด Stage
HyperTone Image Engine มิติใหม่ของการประมวลผลภาพ
OPPO ได้พัฒนาเทคโนโลยี HyperTone Image Engine ที่นำเอาการประมวลผลภาพขั้นสูงมาใช้ในสมาร์ตโฟน Find X8 Series โดยทำงานด้วยการรวมภาพ RAW สูงสุดถึง 9 เฟรมเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างภาพถ่ายที่มีคุณภาพสูงในทุกสภาพแสง เมื่อเทียบกับการถ่ายภาพด้วยการประมวลผลแบบเดิม HyperTone Image Engine สามารถรักษาความสวยงามตามธรรมชาติของภาพถ่ายไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ยกระดับคุณภาพโดยรวมให้ดียิ่งขึ้น
ระบบนี้ทำงานโดยการวิเคราะห์และปรับแต่งแสงในทุกส่วนของภาพอย่างสมดุล ป้องกันไม่ให้เกิดแสงจ้าเกินไปในส่วนที่สว่าง ขณะเดียวกันก็เพิ่มรายละเอียดในส่วนเงาให้ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ภาพถ่ายมีช่วงไดนามิกที่กว้างขึ้น แสดงโทนกลางที่มีรายละเอียดครบถ้วน และมีสัญญาณรบกวนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ HyperTone Image Engine ยังทำงานร่วมกับระบบ AI เพื่อปรับแต่งสีสันให้สมจริงตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในการถ่ายภาพบุคคลที่ต้องการความแม่นยำในการแสดงสีผิว หรือการถ่ายภาพทิวทัศน์ที่ต้องการความสมดุลระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน ทำให้ภาพถ่ายทุกภาพออกมาสวยงามและสมจริงมากยิ่งขึ้น แม้จะถ่ายในสภาพแสงที่ท้าทายก็ตาม
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องของ OPPO Find X8 Series
Hasselblad Portrait Mode: พัฒนาการครั้งใหม่ของการถ่ายภาพบุคคล
OPPO Find X8 Series มาพร้อมโหมด Hasselblad Portrait รุ่นล่าสุด ที่พัฒนาขึ้นจากความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ Hasselblad แบรนด์กล้องระดับตำนาน
- Find X8 Pro มอบความยืดหยุ่นสูงสุดด้วยระยะโฟกัส 6 ระดับ ตั้งแต่ 23mm, 35mm, 48mm, 73mm, 85mm และ 135mm
- Find X8 รองรับ 5 ระยะโฟกัส ครอบคลุมตั้งแต่ 24mm, 35mm, 49mm, 73mm และ 85mm
ข้อดีของการมีระยะโฟกัสหลายช่วง จะทำให้สามารถถ่ายภาพบุคคลได้หลากหลายสไตล์ ตั้งแต่ภาพกว้างไปจนถึงภาพถ่ายใบหน้าระยะใกล้ โดยมิติของภาพในระยะโฟกัสที่ต่างกันก็จะให้ภาพที่อารมณ์ไม่เหมือนกัน อย่างในระยะ 24mm หรือ 35mm จะให้ภาพที่กว้าง และฉากหลังที่อยู่ใกล ทำให้ตัวบุคคลโดดเด่น
ส่วนระยะเทเลตั้งแต่ 73mm ขึ้นไป การซูมจะดึงฉากหลังให้ดูใหญ่และใกล้ตัวบุคคลมากขึ้น ทำให้ได้ภาพที่ต่างอารมณ์ออกไป
อีกจุดเด่นของ Hasselblad Portrait Mode รุ่นใหม่ อยู่ที่การสร้างเอฟเฟกต์โบเก้ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการใช้อัลกอริธึมการแบ่งส่วนวัตถุขั้นสูง ที่สามารถแยกรายละเอียดเล็กๆ อย่างเส้นผมแต่ละเส้น หรือวัตถุที่ซับซ้อนที่ถือด้วยมือได้อย่างแม่นยำ พร้อมการคีย์ภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้น แฟลร์ที่มีเลเยอร์มากขึ้น และสีที่ชัดเจนกว่าเดิม
ตัวอย่างภาพถ่ายใน Portrait Mode ในหลากหลายสภาพแสง
นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟิลเตอร์จำลองฟิล์มแบบใหม่ 3 รูปแบบ ได้แก่ CC Film ที่จำลองเอฟเฟกต์ฟิล์มบวกแบบคลาสสิก NC Film ที่มอบไฮไลต์นุ่มนวลและโทนสีฟ้าอมเขียว และ NH Film ที่ให้คอนทราสต์สูงแบบมืออาชีพ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพบุคคล โดยสไตล์ฟิล์มเหล่านี้สามารถใช้ได้ทั้งกับภาพนิ่ง LivePhoto และวิดีโอ
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพบุคคลด้วยแสงนุ่มนวล โหมดนี้ยังมีฟิลเตอร์ Soft Lighting ที่สร้างเอฟเฟกต์หมอกขาวแบบฝันๆ ช่วยเพิ่มสไตล์ที่โดดเด่นไม่ซ้ำใครให้กับภาพถ่ายของคุณ เหมาะสำหรับการโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ทำให้ภาพถ่ายของคุณสะดุดตาและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
Lightning Snap: ทำให้การถ่ายภาพเบลอเป็นเรื่องยาก!
การถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหว เช่น สัตว์เลี้ยงหรือเด็กๆ เป็นความท้าทายสำหรับผู้ใช้สมาร์ตโฟนมาโดยตลอด ผลลัพธ์มักจะเป็นภาพที่เบลอหรือพลาดจังหวะสำคัญ OPPO จึงพัฒนาฟีเจอร์ Lightning Snap เพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ เพียงกดปุ่มชัตเตอร์ค้างไว้ขณะถ่ายภาพ Find X8 Series จะถ่ายภาพต่อเนื่องด้วยความเร็วสูงถึง 7 เฟรมต่อวินาที ถือว่าเป็นความเร็วเทียบเท่ากับความสามารถของกล้อง DSLR
ความพิเศษของ Lightning Snap อยู่ที่การใช้สถาปัตยกรรมการประมวลผลแบบ Off-Peak ที่แยกการทำงานระหว่างชัตเตอร์และการประมวลผลออกจากกัน ต่างจากการถ่ายภาพแบบเดิมที่ต้องประมวลผลภาพให้เสร็จก่อนจึงจะถ่ายภาพต่อไปได้ ด้วยพลังของชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 9400 ทำให้สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้มากถึง 200 ภาพโดยไม่สูญเสียคุณภาพ
แต่ละเฟรมที่ถ่ายด้วย Lightning Snap จะได้รับการประมวลผลด้วย HyperTone Image Engine ที่รวมการเปิดรับแสงหลายครั้งเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด ช่วยลดการเบลอและเพิ่มความคมชัด ทำให้ทุกภาพที่เลือกจากการถ่ายต่อเนื่องมีความชัดเจน แสงเพียงพอ และจับโมเมนต์สำคัญได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เปรียบเทียบการถ่ายภาพด้วยการปิด และ เปิด Lightning Snap โดยภาพที่ถ่ายคือบนถนนมอเตอร์เวย์ที่รถวิ่งสวนมาด้วยความเร็วมากกว่า 100 กม./ชม. จะเห็นว่าเมื่อเปิด Lightning Snap จะเห็นว่าตัวรถจะมีความชัดเจน และตัวหนังสือที่ด้านข้างก็คมชัดและอ่านออกได้
นอกจากนี้ Lightning Snap ยังช่วยแก้ปัญหาชัตเตอร์แล็ก ที่เป็นความล่าช้าระหว่างการกดชัตเตอร์กับการถ่ายและบันทึกภาพ ด้วยการประมวลผลที่แยกส่วน ทำให้ชัตเตอร์แล็กแทบเป็นศูนย์ ผู้ใช้สามารถจับภาพได้แม่นยำในเสี้ยววินาทีที่ต้องการ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพกีฬา การแสดง หรือกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวรวดเร็ว
การกดชัตเตอร์เพื่อถ่าย ไม่ว่าจะจิ้มแตะรัวๆ หรือกดปุ่มปรับระดับเสียงแทนชัตเตอร์ค้างไว้เป็น Burst Mode ก็ทำให้เก็บพับช็อตติดๆ กันแล้วมาคัดเลือกที่อยู่ในเฟรมหรือจังหวะที่ดีที่สุดได้ง่าย
AI Photo Remaster: แก้ไขภาพอัจฉริยะที่ใครๆ ก็ทำได้
OPPO Find X8 Series มาพร้อมชุดเครื่องมือแก้ไขภาพอัจฉริยะ AI Photo Remaster ที่พัฒนาต่อยอดจาก AI Eraser รุ่นก่อน โดยรวมเอาเทคโนโลยี AI ขั้นสูงมาช่วยปรับแต่งภาพถ่ายให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
ฟีเจอร์แรกคือ AI Clarity Enhancer ที่สามารถแปลงภาพถ่ายคุณภาพต่ำหรือภาพที่ถูกครอบตัดให้กลายเป็นภาพความละเอียดสูงระดับ 4K ด้วยการวิเคราะห์และเพิ่มรายละเอียดอย่างชาญฉลาด ทำให้ภาพคมชัดและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ภาพที่ถ่ายมาแล้วต้องการครอปทีหลัง แล้วอาจจะสูญเสียรายละเอียดและความชัด ตัว AI Clarity Enhancer สามารถมาแก้ไขให้ได้
สำหรับภาพที่เบลอจากการเคลื่อนไหว AI Unblur จะใช้ความสามารถในการสร้างภาพของ AIGC (AI-Generated Content) เพื่อฟื้นฟูรายละเอียด สีสัน และเอฟเฟกต์แสงเงาที่หายไป โดยเฉพาะในส่วนของพื้นผิวที่ละเอียดอ่อน เช่น ผิวหนังและเส้นผม ทำให้ภาพที่ดูจะเสียกลับมาคมชัดและสวยงามอีกครั้ง
ลองใช้งาน AI Unblur กับภาพที่ถ่ายมาแล้วบนใบหน้าของแบบมีลายภาพจากโปรเจคเตอร์พาดผ่าน ปรากฎว่าสามารถลบออกและทำให้ใบหน้าคมชัดอย่างสวยงาม
ในสถานการณ์ที่ถ่ายในเวลากลางคืน ที่อาจจะมความผิดพลาดที่ถ่ายแล้วเคลื่อนไหวจนภาพที่ได้มีความเบลอ AI Unblur ก็ช่วยแก้ไขให้ได้
AI Reflection Remover ที่ช่วยกำจัดปัญหาแสงสะท้อนและเงาที่ไม่พึงประสงค์ในภาพที่ถ่ายผ่านกระจก ไม่ว่าจะเป็นภาพทิวทัศน์หรือภาพพอร์ตเรต เทคโนโลยี AIGC จะวิเคราะห์และแยกแยะส่วนที่เป็นเงาสะท้อนออกจากวัตถุหลักในภาพ แล้วลบเฉพาะส่วนที่เป็นแสงสะท้อนออกไป ทำให้ได้ภาพที่คมชัด สะอาดตา และไม่มีสิ่งรบกวน เหมาะสำหรับการถ่ายภาพผ่านกระจกในพิพิธภัณฑ์ หรือถ่ายภาพผ่านหน้าต่างบนตึกสูง
เปรียบเทียบภาพก่อนและหลังใช้ AI Reflection Remover
ด้วยชุดเครื่องมือ AI Photo Remaster นี้ OPPO Find X8 Series จึงไม่เพียงถ่ายภาพสวยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขและปรับแต่งภาพได้อย่างมืออาชีพ แม้จะไม่มีความรู้ด้านการตกแต่งภาพมาก่อน
ดีไซน์และหน้าจอแสดงผล: สวยงาม บางเบา สะท้อนความเป็นพรีเมียม
OPPO Find X8 Series มาพร้อมดีไซน์ที่แตกต่างเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย
- Find X8 Pro โดดเด่นด้วยหน้าจอ Infinite View โค้ง 4 ด้านขนาด 6.78 นิ้ว มอบความรู้สึกพรีเมียมและจับถือสบายมือ ด้วยความบางเพียง 8.24 มิลลิเมตรและน้ำหนัก 215 กรัม
- Find X8 มาในดีไซน์หน้าจอแบนขนาด 6.59 นิ้ว พร้อมขอบจอบางที่สุดในบรรดาสมาร์ตโฟน OPPO ทุกรุ่นที่เพียง 1.45 มิลลิเมตร ตัวเครื่องบางเพียง 7.85 มิลลิเมตรและเบาเพียง 193 กรัม
ทั้งสองรุ่นมาพร้อมโครงสร้าง OPPO Armour Shield ที่ผสมผสานกระจกเสริมแรง โลหะผสมอลูมิเนียมที่แข็งแกร่ง และการเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับแรงกระแทก ผ่านการรับรองมาตรฐาน IP68 สามารถกันน้ำที่ความลึก 1.5 เมตรนาน 30 นาที และ IP69 ทนต่อการฉีดน้ำแรงดันสูงที่อุณหภูมิ 80°C
ด้านจอแสดงผล ทั้งคู่ใช้หน้าจอ AMOLED รีเฟรชเรต 120Hz รองรับ HDR10+ และ Dolby Vision ให้ความสว่างสูงสุด 4,500 nits ในโหมด HDR และในการใช้งานกลางแจ้ง ก็ยังคงมีความสว่างชัดเจนแม้ว่าจะอยู่กลางแดด
- Find X8 Pro มาพร้อมความละเอียด 2780×1264 พิกเซล (450 PPI)
- Find X8 มีความละเอียด 2760×1256 พิกเซล (460 PPI)
ทั้งคู่รองรับการหรี่แสง PWM ความถี่สูง ช่วยถนอมสายตา โดย Find X8 Pro ใช้ความถี่ 2160Hz และ Find X8 ใช้ความถี่สูงถึง 3840Hz
Find X8 Pro มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Space Black ที่มาพร้อมพื้นผิวป้องกันรอยนิ้วมือ และ Pearl White ที่มีลวดลายประกายมุกสวยงาม ส่วน Find X8 มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ Star Grey สีเทาคลาสสิก Space Black สีดำเข้ม และ Shell Pink สีชมพูอ่อนหวาน
ทั้งสองรุ่นมาพร้อม Alert Slider ที่ช่วยให้สลับโหมดเสียง สั่น และเงียบได้อย่างรวดเร็ว พร้อมดีไซน์วงแหวน Cosmos Ring ที่จัดวางเลนส์กล้องอย่างสมมาตรสวยงาม ส่วนนูนของกล้องบางลง 40% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ทำให้วางราบกับพื้นผิวได้ดีขึ้น
Quick Button เพื่อการถ่ายภาพที่สะดวกและรวดเร็วกว่าที่เคย
เพิ่มมาให้สำหรับใน OPPO Find X8 Pro ที่ช่วยให้การจับภาพช่วงเวลาสำคัญเป็นเรื่องง่ายกว่าที่เคย ด้วยการแตะสองครั้งที่ปุ่ม กล้องจะเริ่มทำงานภายในเวลาเพียง 0.4 วินาที และคุณสามารถซูมเข้าหรือซูมออกได้อย่างง่ายดายเพียงเลื่อนนิ้วไปตามปุ่มอย่างนุ่มนวล เพียงแตะเพื่อถ่ายภาพ หรือกดค้างไว้เพื่อเปิดใช้งาน Lightning Snap สำหรับการถ่ายภาพต่อเนื่อง
OPPO ยังเตรียมอัพเดต OTA ในอนาคตที่จะยกระดับฟีเจอร์นี้ให้ดียิ่งขึ้น โดยจะสามารถจับภาพได้ทันทีด้วยการแตะสองครั้ง ทำให้ไม่พลาดทุกช่วงเวลาสำคัญ นับเป็นเครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้การถ่ายภาพด้วยสมาร์ตโฟนสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น เหมาะสำหรับการถ่ายภาพในสถานการณ์ที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น การถ่ายภาพกีฬา งานอีเวนต์ หรือช่วงเวลาสำคัญในชีวิตประจำวัน
ทดสอบลองเล่นเกม
ประสิทธิภาพของชิปเซ็ต Dimensity 9400 ถือว่าเป็นรุ่นเรือธงของทางฝั่ง MediaTek ที่ทำดีมาอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องสมรรถภาพ การประหยัดพลังงาน รวมถึงทาง OPPO ก็มีการพัฒนาระบบระบายความร้อนเพื่อควบคุมอุณหภูมิให้การเล่นเกมมีความเสถียรเมื่อเล่นต่อเนื่องนานๆ
เราได้ลองทดลองเล่นเกมระดับ AAA อย่าง Genshin Impact ปรับให้เฟรมเรตสูง และกราฟิกระดับกลาง แล้วปรับ HyperBoost เป็นโหมด Pro Gamer เพื่อรีดพลังออกมาเต็มที่ ผลก็คือได้เกมในเฟรมเรต 60fps แบบลื่นๆ ไม่มีแกว่งไม่มีตก
ส่วนทางด้าน RoV เลือกปรับเฟรมเรตสูงและกราฟิกระดับสูงก็เล่นได้ 60fps แบบไม่แกว่งเช่นกัน โดยที่การเล่นนานๆ เครื่องมีอุ่นๆ อยู่บ้าง แต่รู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมินั้นไม่สูงเหมือนรุ่นก่อนๆ ถือว่าน่าประทับใจครับสำหรับการเล่นเกม
แบตเตอรี่และการชาร์จ: พลังงานที่อยู่ได้นานเกินคาด
OPPO Find X8 Series นำเสนอนวัตกรรมแบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอนที่พัฒนาโดย OPPO เพิ่มความหนาแน่นของแบตเตอรี่ได้มากกว่า 10% ทำให้ Find X8 Pro สามารถบรรจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5,910mAh ในขณะที่ Find X8 มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 5,630mAh โดยที่ตัวเครื่องยังคงดีไซน์บางเฉียบเอาไว้ได้ ซึ่งไม่เคยมีสมาร์ตโฟนในระดับเรือธงรุ่นใดของ OPPO ที่มีแบตความจุเยอะขนาดนี้มาก่อน
พร้อมกันนี้ ทั้งสองรุ่นรองรับการชาร์จเร็ว 80W SUPERVOOC ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% เป็น 100% ได้ภายใน 48 นาที นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบชาร์จไร้สาย 50W AIRVOOC ที่รวดเร็วกว่าการชาร์จแบบสายของสมาร์ตโฟนทั่วไป และรองรับเทคโนโลยีชาร์จแม่เหล็กแบบใหม่ Mag Charge เมื่อใช้งานร่วมกับเคสที่รองรับ ที่ช่วยให้แท่นชาร์จแบบแม่เหล็กติดแน่นและชาร์จไ้ด้เร็วขึ้น พร้อมความสามารถในการชาร์จไร้สายแบบย้อนกลับ 10W สำหรับชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ
ในด้านเวลาการใช้งาน Find X8 Pro สามารถรองรับการสตรีมมิ่ง Netflix ได้นานถึง 24 ชั่วโมง YouTube 23.4 ชั่วโมง และบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ได้ต่อเนื่อง 7.2 ชั่วโมง ส่วน Find X8 ก็ทำได้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ด้วยการสตรีมมิ่ง Netflix 21.2 ชั่วโมง YouTube 21.6 ชั่วโมง และบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ได้ 6.5 ชั่วโมง แม้ในสถานการณ์ที่แบตเตอรี่เหลือเพียง 10% ระบบ AI LinkBoost จะช่วยประหยัดพลังงาน มอบเวลาสแตนด์บายเพิ่มเติม 2-3 ชั่วโมง
ColorOS 15: ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะเพื่อประสบการณ์ใหม่
ColorOS 15 บน OPPO Find X8 Series มาพร้อมการอัพเกรดครั้งใหญ่ด้วยฟีเจอร์ AI ที่หลากหลาย โดดเด่นด้วย AI Toolbox ที่ทำงานร่วมกับ Google Gemini ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น AI Summary ที่สรุปเนื้อหาจากหน้าเว็บด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว AI Speak ที่อ่านเนื้อหาให้ฟังขณะทำงานอื่น และ AI Writer ที่ช่วยเขียนและแก้ไขข้อความให้สมบูรณ์แบบ และทั้งหมดนี้ รองรับภาษาไทย
เมื่อเข้าหน้าเว็บ สามารถกด AI Summary เพื่อให้สรุปเนื้อหาสำคัญจากหน้าเว็บที่เราเปิดอยู่ เพื่อให้อ่านได้เข้าใจอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องอ่านทั้งหมด
การเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์มทำได้ง่ายขึ้นด้วย Touch to Share ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ไฟล์ระหว่าง OPPO Find X8 Series กับ iPhone หรือ iPad ได้เพียงแตะ NFC ผ่านแอป O+ Connect (ระบบนี้จะเปิดให้อัปเดตในเดือนธันวาคม)
เบื้องต้นได้ทดลองใช้ในการเชื่อมต่อและส่งผ่านในแอป O+ Connect ต้องบอกว่าใช้งานได้ง่ายมาก แค่เลือกไฟล์หรือรูปที่ต้องการ แล้วกดเลือกส่งไฟล์ให้กับ iPhone แล้วทางฝั่งเครื่องไอโฟนก็กดรับไฟล์ จากนั้นข้อมูลก็จะถูกส่งให้แบบไร้สายได้อย่างรวดเร็ว จากที่ทดลองคือส่งรูปเกือบ 100 รูป ใช้เวลาโอนไฟล์เพียงแค่ 5-10 วินาทีเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Circle to Search ที่ทำงานร่วมกับ Google การใช้งานให้กดปุ่ม Home ที่แถบ Navigation (หรือแถบสีขาว) ค้างไว้ ระบบจะจับหน้าจอ จากนั้นใช้นิ้วลากเส้นวงที่สิ่งที่ต้องการค้นหา จากนั้น Google ก็จะค้นหาข้อมูลให้ทันที
ระบบยังรองรับการจดบันทึกและจัดการเอกสารอัจฉริยะ แอป Notes ช่วยจัดรูปแบบเค้าโครงอัตโนมัติ Documents สามารถสรุปเอกสารได้ 7 ภาษา และแอปบันทึกเสียงที่ขับเคลื่อนด้วย Gemini 1.5 Pro สามารถสร้างบทสรุปจากเสียงบันทึกที่ยาวหลายชั่วโมง ทำให้ ColorOS 15 เป็นมากกว่าระบบปฏิบัติการ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่พร้อมยกระดับประสบการณ์การใช้งานในทุกด้าน
ใน AI-Writer ยังสามารถช่วยเขียน, เช็คแกรมม่า, หรือรีไรท์เนื้อหา ข้อความที่เราต้องการปรับได้ และในโหมดช่วยเขียน (Write) ยังสามารถเขียน Prompt เพื่อสั่งให้เขียนข้อความหรืออีเมล์ได้อีกด้วย
สรุป รีวิว OPPO Find X8 และ Find X8 Pro : กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ ใส่เต็มอย่างเร้าใจ
OPPO Find X8 Series นำเสนอสมาร์ตโฟนระดับแฟลกชิปที่มีจุดเด่นชัดเจน ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะด้านการถ่ายภาพ Find X8 Pro โดดเด่นด้วยกล้อง Periscope คู่ครั้งแรกของโลก ให้ประสบการณ์ซูมที่ทำงานร่วมกับ AI ที่ให้ความคมชัดดีที่สุดในตลาดตอนนี้ ส่วน Find X8 ที่วางให้อยู่ในระดับเริ่มต้นของซีรีส์ ก็ยังคงได้ความพรีเมียมและกล้องที่ดีครบทุกระยะในราคาที่เข้าถึงได้
จุดเด่นของทั้งสองรุ่นอยู่ที่ประสิทธิภาพของชิปเซ็ต Dimensity 9400 ที่เป็นชิปตัวแรงหัวตารางในด้าน Performance ที่การใช้งานมีความไหลลื่น พร้อมฟีเจอร์ด้าน AI ทั้งภาษาและการสร้างภาพ แต่งภาพ รวมถึงขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่สุดในระดับแฟล็กชิป ให้สามารถใช้หนักๆ ก็ยังอยู่ได้ทั้งวัน พร้อมทั้งยังมีระบบชาร์จเร็วที่เติมพลังให้ได้อย่างรวดเร็ว
ถ้าให้เลือกระหว่างสองรุ่นนี้ Find X8 Pro เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสมาร์ตโฟนประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะนักถ่ายภาพและครีเอเตอร์ด้วยฟีเจอร์ของกล้องที่ดีขั้นสุดทั้งการถ่ายภาพและวิดีโอ ส่วน Find X8 ตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการสมาร์ตโฟนระดับพรีเมียมที่คุ้มค่า ด้วยฟีเจอร์ครบครันและการใช้งานที่ยืดหยุ่น และความสามารถด้าน AI ที่ครบถ้วน
ครั้งนี้ถือว่าเป็นการกลับมาที่สมศักดิ์ศรีและน่าประทับใจของซีรีส์ Find X ที่พัฒนาทั้งด้านนวัตกรรมและการใช้งานจริงและเชื่อว่านี่จะเป็นสมาร์ตโฟนที่จะสร้างความประทับใจให้กับคุณด้วยเช่นกัน