การมาถึงของ Surface Pro 11 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงการแท็บเล็ต-โน้ตบุ๊กไฮบริด เมื่อไมโครซอฟท์ตัดสินใจครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนมาใช้ชิปเซ็ต Snapdragon แบบ ARM แทนชิป x86 แบบเดิม โดยมีให้เลือกถึงสองรุ่นด้วยกัน คือ Snapdragon X Plus 10-core สำหรับรุ่นทั่วไป และ Snapdragon X Elite 12-core สำหรับรุ่นที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด
รีวิว ครั้งนี้ ทีมงาน TechOffside เราได้ทดสอบ Surface Pro 11 รุ่น Snapdragon X Plus 10-core ซึ่งสร้างความประทับใจด้วยประสิทธิภาพที่เร็วกว่ารุ่นก่อน (ตามข้อมูลคือเพิ่มขึ้นถึง 86%) ในขณะที่ใช้พลังงานน้อยลงอย่างน่าทึ่ง ด้วยแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นานถึง 14 ชั่วโมง ทำให้คุณทำงานได้ทั้งวันโดยไม่ต้องกังวลเรื่องปลั๊กไฟ
จุดเด่นสำคัญของ Surface Pro 11 อยู่ที่พลังด้าน AI ซึ่งมาพร้อมกับ NPU (Neural Processing Unit) ที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถประมวลผลได้ถึง 45 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ทำให้ฟีเจอร์ AI ต่างๆ ทำงานได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น Copilot, Windows Studio Effects หรือ Image Creator ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น
Surface Pro 11 จึงไม่ใช่แค่การอัปเกรดรุ่นใหม่ธรรมดา แต่เป็นการปฏิวัติการใช้งานคอมพิวเตอร์ PC พกพาครั้งสำคัญ ที่ผสานทั้งประสิทธิภาพ ความประหยัดพลังงาน และความสามารถด้าน AI เข้าด้วยกันอย่างลงตัว มาดูกันว่าอุปกรณ์ตัวนี้จะตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างไรบ้าง
การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ พกพาสะดวก สวยพรีเมียม
Surface Pro 11 โดดเด่นด้วยการออกแบบที่พิถีพิถันและการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง ตัวเครื่องผลิตจากอลูมิเนียมชุบอโนไดซ์ มีให้เลือกสองสีคือดำและแพลทินัม ซึ่งแต่ละสีสะท้อนความเป็นพรีเมียมได้อย่างลงตัว วัสดุที่เลือกใช้ไม่เพียงสวยงามแต่ยังให้สัมผัสที่ดูมีระดับ ความแข็งแรงทนทานแต่ยังคงความบางเบาถือเป็นจุดเด่นที่ชัดเจน ด้านหน้าปกป้องด้วยกระจก Corning Gorilla Glass 5 ที่ทนทานต่อรอยขีดข่วนและการกระแทก ทำให้มั่นใจได้ว่าจะใช้งานได้ยาวนาน
จุดเด่นของการออกแบบอยู่ที่ขาตั้งแบบปรับได้ 165 องศา ที่ให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานหลากหลายรูปแบบ ผู้ใช้สามารถปรับมุมได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นโหมดแล็ปท็อปสำหรับการพิมพ์งาน โหมดแท็บเล็ตสำหรับการท่องเว็บหรืออ่านเอกสาร หรือโหมดสตูดิโอสำหรับการวาดภาพและงานครีเอทีฟ การออกแบบขาตั้งยังช่วยระบายความร้อนได้ดี ทำให้ใช้งานได้ยาวนานโดยไม่มีปัญหาเรื่องความร้อน
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตเล็กน้อยเรื่องความเสถียรเมื่อใช้งานบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ เนื่องจากขาตั้งต้องการพื้นที่ด้านหลังเพิ่มเติม อาจทำให้เกิดการโยกคลอนเล็กน้อยเมื่อใช้งานบนตัก หรือพื้นผิวที่ไม่มั่นคง แต่ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่นักเมื่อใช้งานบนโต๊ะทำงานหรือพื้นผิวที่มั่นคง ทั้งนี้การออกแบบในลักษณะนี้ถือเป็นมาตรฐานของแท็บเล็ต 2-in-1 ที่ต้องแลกความบางเบากับความมั่นคงบางส่วน
ด้านการพกพา Surface Pro 11 ทำได้ดีเยี่ยมด้วยขนาดกะทัดรัดที่ 287 x 209 x 9.3 มิลลิเมตร และน้ำหนักเพียง 895 กรัม ซึ่งถือว่าเบามากสำหรับอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพระดับนี้ เมื่อประกอบกับคีย์บอร์ด Surface Pro Signature ที่บางเฉียบและสายชาร์จขนาดกะทัดรัดเพียง 40 กรัม ทำให้พกพาสะดวก ไม่เปลืองพื้นที่ในกระเป๋า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางบ่อยหรือทำงานนอกสถานที่
วัสดุของคีย์บอร์ดที่คล้ายหนังกลับให้สัมผัสที่นุ่มและผิวด้านของตัวเครื่องช่วยเพิ่มความมั่นใจในการจับถือ ลดโอกาสการลื่นหลุดระหว่างใช้งาน การผสมผสานระหว่างความบางเบาและคุณภาพการประกอบระดับพรีเมียมทำให้ Surface Pro 11 ดูหรูหราและมีระดับ เหมาะกับการใช้งานทั้งในออฟฟิศ การประชุมสำคัญ หรือแม้แต่การทำงานที่ร้านกาแฟ ถือเป็นอุปกรณ์ที่สะท้อนภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพได้อย่างดี
จอแสดงผลและการใช้งานแบบหลายรูปแบบ
Microsoft Surface Pro 11 มาพร้อมจอแสดงผล PixelSense Flow ขนาด 13 นิ้ว ความละเอียด 2880 x 1920 พิกเซล ในอัตราส่วน 3:2 ที่เหมาะสมกับการทำงานเอกสารและงานครีเอทีฟ เพราะให้พื้นที่แนวตั้งมากขึ้น พร้อมอัตรารีเฟรช 120Hz ที่ทำให้การเลื่อนเนื้อหาและการใช้งานทั่วไปลื่นไหลเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับปากกา
คุณภาพการแสดงผลมีให้เลือกสองแบบตามรุ่น โดยรุ่น Snapdragon X Plus ใช้จอ LCD คุณภาพสูง ส่วนรุ่น Snapdragon X Elite มาพร้อมจอ OLED ที่ให้สีสันสดใส คมชัด และความคมชัดที่ดีกว่า รองรับ Dolby Vision IQ ที่ปรับแต่งความสว่างและคอนทราสต์ให้เหมาะสมกับสภาพแสงโดยรอบ
การตอบสนองต่อการสัมผัสทำได้ดีมาก ทั้งการใช้นิ้วและ Surface Slim Pen 2 ให้ความแม่นยำและตอบสนองฉับไว แต่มีข้อสังเกตเล็กน้อยเรื่องความรู้สึกแข็งเมื่อใช้ปากกาเขียนหรือวาด ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวสำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับความนุ่มนวลของแท็บเล็ตบางรุ่น
ระบบเสียงของ Surface Pro 11 ได้รับการปรับปรุงด้วยลำโพงสเตอริโอ 2 วัตต์ พร้อมเทคโนโลยี Dolby Atmos ให้เสียงที่เต็มอิ่ม มีมิติ เหมาะสำหรับทั้งการประชุมออนไลน์และความบันเทิง ส่วนไมโครโฟนคู่แบบ Studio Mics มาพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนที่ช่วยให้การสนทนาชัดเจนแม้ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงรบกวน
การเชื่อมต่อครบครันด้วยพอร์ต USB-C สองช่อง ที่รองรับ Thunderbolt 4 สามารถต่อจอภายนอกความละเอียด 4K ได้สูงสุด 3 จอ เหมาะสำหรับการขยายพื้นที่การทำงานหรือการนำเสนองาน นอกจากนี้ยังรองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth 5.4 เพื่อการเชื่อมต่อไร้สายที่เสถียรและรวดเร็ว
การทำงานร่วมกับ Surface Pro Signature Keyboard และ Surface Slim Pen 2 ถือเป็นจุดแข็งของอุปกรณ์ การวางตำแหน่งคีย์บอร์ด ทัชแพด และพื้นที่วางมือได้สัดส่วนที่ลงตัว ทำให้ใช้งานได้สะดวกและเป็นธรรมชาติ แม้จะมีข้อจำกัดด้านการยวบของแผงคีย์บอร์ดเมื่อพิมพ์แรงๆ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกัน
ประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้ดีเยี่ยม
หัวใจสำคัญของ Surface Pro 11 อยู่ที่การใช้ชิปเซ็ต Snapdragon แบบ ARM ซึ่งในรุ่นที่เราทดสอบใช้ Snapdragon X Plus แบบ 10-core ที่ให้ประสิทธิภาพเร็วกว่ารุ่นก่อนถึง 86% การทำงานทั่วไปทั้งเปิดเว็บหลายแท็บ ใช้งาน Microsoft Office หรือแม้แต่ตัดต่อภาพและวิดีโอพื้นฐาน ทำได้คล่องตัวไม่มีสะดุด
จุดเด่นของชิป Snapdragon อยู่ที่ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีเยี่ยม ทำให้แบตเตอรี่อยู่ได้นานถึง 14 ชั่วโมงในการใช้งานทั่วไป และ 10 ชั่วโมงสำหรับการท่องเว็บต่อเนื่อง นับว่าตอบโจทย์การทำงานนอกสถานที่ได้เต็มวัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหาปลั๊กไฟ การชาร์จแบตเตอรี่ทำได้รวดเร็วผ่านพอร์ต USB-C กำลังไฟ 65W
ส่วนของ Neural Processing Unit (NPU) ที่มีความเร็ว 45 TOPS ถือเป็นหัวใจสำคัญในการประมวลผลงาน AI แบบ On-device โดยไม่ต้องพึ่งการประมวลผลผ่านคลาวด์ ทำให้ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Windows Studio Effects, Image Creator หรือ Copilot ทำงานได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
การรันแอปพลิเคชันเนทีฟบน ARM ทำได้ดีมาก และด้วยเทคโนโลยี Prism ทำให้แอปที่ต้องทำงานผ่านการจำลอง (Emulation) ทำงานได้เร็วกว่าอุปกรณ์ Windows on ARM รุ่นก่อนๆ ถึง 2 เท่า มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Rosetta 2 ของ Apple โดยทางไมโครซอฟท์ระบุว่าเกือบ 90% ของการใช้งานแอปจะเป็นแบบเนทีฟ
การระบายความร้อนออกแบบมาได้ดี แม้จะใช้งานหนักต่อเนื่อง เครื่องก็ไม่ร้อนจนน่ากังวล ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีของชิป ARM ทำให้สร้างความร้อนน้อยกว่าชิป x86 แบบเดิม อีกทั้งการออกแบบขาตั้งแบบเปิดยังช่วยระบายอากาศได้ดีขึ้น
หน่วยความจำเริ่มต้นที่ 16GB LPDDR5x และความจุสตอเรจแบบ SSD เริ่มต้นที่ 256GB ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป ส่วนรุ่นท็อปมาพร้อม RAM 32GB และ SSD ความจุ 2TB สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจำนวนมาก ทั้งนี้ SSD สามารถถอดเปลี่ยนได้ เพิ่มความยืดหยุ่นในการอัพเกรดในอนาคต
ฟีเจอร์ AI ที่มาพร้อมกับการใช้งานจริง
Surface Pro 11 มาพร้อมกับฟีเจอร์ AI ที่ไม่ใช่แค่การตลาด แต่นำมาใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน หัวใจสำคัญอยู่ที่ NPU Qualcomm Hexagon ที่ทำงานด้วยความเร็ว 45 TOPS ช่วยให้การประมวลผล AI เป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว และประหยัดพลังงาน
Windows Studio Effects คือหนึ่งในฟีเจอร์ที่โดดเด่นสำหรับการประชุมออนไลน์ Portrait Light ช่วยปรับแสงให้ใบหน้าสว่างสวยงามแม้ในสภาพแสงน้อย Voice Focus กรองเสียงรบกวนรอบข้างออกไปโดยอัตโนมัติ ขณะที่ Eye Contact ช่วยให้ดูเหมือนกำลังมองตากล้องแม้จะกำลังอ่านสคริปต์บนหน้าจอ ทำให้การประชุมดูเป็นธรรมชาติและมืออาชีพมากขึ้น
Cocreator และ Image Creator เป็นฟีเจอร์สร้างสรรค์งานศิลปะที่น่าสนใจ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างภาพจากคำอธิบายหรือปรับแต่งภาพที่มีอยู่แล้วให้มีสไตล์ที่ต้องการ แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านภาษาที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการป้อนคำสั่ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าประทับใจ
Live Captions เป็นอีกฟีเจอร์ที่มีประโยชน์มาก สามารถแปลงเสียงพูดเป็นข้อความแบบเรียลไทม์ได้ถึง 44 ภาษา และแปลเป็นภาษาอังกฤษ ช่วยให้การประชุมกับชาวต่างชาติหรือการดูวิดีโอต่างประเทศเป็นเรื่องง่าย โดยไม่ต้องรอซับไตเติ้ลอย่างที่เคยเป็นมา
การมีปุ่ม Copilot โดยเฉพาะบนคีย์บอร์ดช่วยให้เข้าถึงผู้ช่วย AI ได้รวดเร็วขึ้น สามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้ทันทีเพียงแค่กดปุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการสรุปเนื้อหา แปลภาษา หรือสร้างคอนเทนต์ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ที่สำคัญ ฟีเจอร์ AI เหล่านี้ทำงานแบบ On-device ไม่ต้องส่งข้อมูลไปประมวลผลบนคลาวด์ ทำให้ทำงานได้เร็วขึ้นและปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้แม้ไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต นับเป็นการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยี AI กับการใช้งานจริงที่ลงตัว
สรุป รีวิว Microsoft Surface Pro 11 ดีขึ้นแค่ไหน เหมาะสำหรับใคร?
Microsoft Surface Pro 11 สะท้อนให้เห็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์พกพา ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ชิป ARM และการผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับการใช้งานจริง ทำให้ได้อุปกรณ์ที่ทั้งทรงประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน เหมาะกับการทำงานในยุค Hybrid Work อย่างแท้จริง
สิ่งที่ดีและชอบมากๆ คือการประหยัดพลังงาน ที่ไม่ห่วงหรือกังวลในการใช้งานนอกสถานที่ แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน และการชาร์จก็สามารถได้รวดเร็ว ตัวอะแดปเตอร์ชาร์จก็มีขนาดที่เล็กพกพาง่าย หรือจะชาร์จแบบ PD ผ่าน USB-C ก็ชาร์จได้ด้วยเช่นกัน
โปรแกรมต่างๆ ถ้าเป็นแบบเนทีฟนั้นใช้งานได้อย่างไร้ปัญหา ทำงานได้รวดเร็ว ส่วนโปรแกรมที่ยังเป็น x86 และทำงานผ่าน Prism ส่วนใหญ่ก็ใช้งานได้ โปรแกรมของ Adobe ที่เป็นงานกราฟิกและครีเอเตอร์นั้นเริ่มทยอยเป็นเวอร์ชั่นเนทีฟแล้ว ใช้ได้ไม่มีปัญหา จะมีที่ยังเล่นไม่ค่อยได้คือเกม ถ้าไม่ได้เป็นสายเกมเมอร์ก็อาจจะไม่ใช่ปัญหา
ข้อดี:
- ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ยอดเยี่ยม แบตเตอรี่อยู่ได้นานถึง 14 ชั่วโมง
- การออกแบบบางเบา พกพาสะดวก วัสดุคุณภาพสูง
- จอแสดงผลคมชัด อัตรารีเฟรช 120Hz ให้การใช้งานที่ลื่นไหล
- ฟีเจอร์ AI ที่ใช้งานได้จริง โดยเฉพาะ Windows Studio Effects
- ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ ทำงานเงียบไม่ร้อนเกิน
- พอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน รองรับจอภายนอกได้ถึง 3 จอ
ข้อจำกัด:
- ขาตั้งต้องการพื้นที่ด้านหลัง อาจไม่เสถียรบนพื้นผิวที่ไม่เรียบ
- คีย์บอร์ดมีอาการยวบเล็กน้อยเมื่อพิมพ์แรงๆ
- ความรู้สึกแข็งเมื่อใช้ปากกาเขียนหรือวาด
- แอปพลิเคชันบางตัวต้องทำงานผ่านการจำลอง อาจมีผลต่อประสิทธิภาพ
- ฟีเจอร์ AI บางอย่างรองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ
- ราคาค่อนข้างสูงเมื่อรวมอุปกรณ์เสริม
ในแง่ของความคุ้มค่า Surface Pro 11 ราคาเริ่มต้นที่ 40,900 บาท สำหรับรุ่น Snapdragon X Plus พร้อม RAM 16GB และ SSD 256GB ขณะที่รุ่นสูงสุดราคา 89,900 บาท มาพร้อม Snapdragon X Elite, RAM 32GB, SSD 2TB และจอ OLED แม้จะมีราคาสูง แต่ด้วยคุณภาพการประกอบ ประสิทธิภาพการทำงาน และฟีเจอร์ AI ที่ใช้งานได้จริง ทำให้คุ้มค่าสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์ระดับพรีเมียมที่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่
ถ้าให้เราแนะนำว่า Microsoft Surface Pro 11 เหมาะสำหรับใครบ้าง
- นักธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อยและต้องการอุปกรณ์พกพาที่มีประสิทธิภาพ
- ครีเอเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงานทั้งการวาดและการตัดต่อ
- พนักงานออฟฟิศที่ทำงานแบบ Hybrid Work
- ผู้ที่ต้องประชุมออนไลน์บ่อยและต้องการภาพลักษณ์ที่ดูมืออาชีพ
- ผู้ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีล่าสุดและต้องการสัมผัสประสบการณ์ AI แบบ On-device
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok