รีวิว HyperX Pulsefire Haste 2 Pro 4K Wireless เมาส์ไร้สายสำหรับสายเล่นเกมระดับโปรที่ต้องการความเบา ตอบสนองอย่างแม่นยำ และแบตเตอรี่ที่ใช้ได้นาน ที่ต้องบอกว่ารุ่นนี้ลองแล้วเข้ามือและถูกใจเราไม่น้อยเลย

ถือว่าเป็นเมาส์ที่ตอบโจทย์ในการเล่นเกมได้ครบถ้วนอย่างที่ต้องการ ด้วยน้ำหนักที่เบาเพียง 61 กรับ ในทรงแบบเมาส์ปกติที่จับได้ถนัดมือ มาพร้อมกับเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ระดับ 26,000 DPI ให้ความแม่นยำและประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับโปรได้เป็นอย่างดี
Unbox – แกะกล่อง
ในกล่องแพ็กเกจของ HyperX Pulsefire Haste 2 Pro นอกจากตัวเมาส์แล้ว จะมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับใช้งานร่วมกันมาให้ครบ ทั้งสาย USB-A to USB-C, ตัว Dongle ส่งสัญญาณ 2.4GHz และตัวอะแดปเตอร์สำหรับเสียบสายกับ Dongle เอาไว้เวลาวางบนโต๊ะคอมแล้วถอดเข้าถอดออกได้สะดวก
และยังมี PTFE สำรองมาให้อีก 1 ชุดสำหรับเป็นอะไหล่เวลาที่ใช้งานไปนานๆ แล้วมีการสึกหรอ และยังมีสติกเกอร์ยางที่ติดเพิ่มด้านข้างเป็น grip เพิ่มความกระชับในการจับได้สำหรับใครที่ชอบแบบหนึบๆ มือ
Design – สวยแบบเรียบ ตอบโจทย์การใช้งาน
HyperX Pulsefire Haste 2 Pro ยังคงเอกลักษณ์ของซีรีส์ Haste ไว้เกือบทั้งหมด ด้วยรูปทรงแบบสมมาตรที่รองรับการใช้งานได้ทั้งมือซ้ายและขวา มาพร้อมปุ่มกดข้าง 2 ปุ่ม, ล้อเลื่อน และปุ่มปรับ DPI ที่ให้สัมผัสการคลิกแน่นไม่เหนียว เนื่องจากถูกอัพเกรดด้วย HyperX Optical Switches ที่รองรับการใช้งานได้ถึง 100 ล้านครั้ง ซึ่งทนกว่า Golden Micro Switches ในรุ่นเดิมที่รองรับเพียง 60 ล้านครั้ง
ตัวเมาส์มาในสีเทา Slate Gray ใช้วัสดุเป็นพลาสติกแบบด้านที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมและแน่นหนา ช่วยให้จับถนัดมือและไม่ลื่นหลุด เพื่อการควบคุมขณะใช้งาน ทั้งยังช่วยลดรอยนิ้วมือ ให้เมาส์สะอาดเรียบร้อยแม้ใช้งานเป็นเวลานาน โดยเฉพาะบริเวณด้านข้างที่มีลักษณะโค้งรับกับฝ่ามือ ทำให้การจับกระชับและควบคุมได้อย่างแม่นยำ
ด้านล่างของเมาส์มีการปรับปรุงเล็กน้อยเช่นกัน โดยยังคงแถบรอง PTFE 4 จุดเหมือนรุ่น Haste แต่ในรุ่นนี้มีการเพิ่มแถบ PTFE รอบเซ็นเซอร์ เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานบนพื้นผิวโต๊ะ ให้เคลื่อนไหวได้ลื่นขึ้น
พร้อมกันนี้ที่ด้านล่าง ยังมีปุ่มสวิทช์สำหรับเปลี่ยนโหมดการเชื่อมต่อและปิดการใช้งาน และที่ด้านล่างจะมีช่องสำหรับเก็บ 2.4GHz Dongle อยู่ด้วย
แม้ตัวเมาส์จะมีขนาดเท่าเดิมที่ 4.9 x 1.50 x 2.6 นิ้ว แต่ดูเปลี่ยนไปได้ด้วยการออกแบบที่ดูบางเบาและทันสมัยขึ้น โดยโลโก้ HyperX แสดงอยู่ที่ด้านบนอย่างเรียบง่าย บริเวณด้านบนและด้านข้างของตัวเมาส์ ในตำแหน่งที่สวยและลงตัว
ประสิทธิภาพการใช้งาน
เราแบ่งจุดเด่นที่น่าสนใจของเมาส์รุ่นนี้ 3 ด้านหลักด้วยกัน เริ่มต้นด้วยจุดเด่นด้านน้ำหนักที่เบาเพียง 61 กรัม แม้จะมีการอัพเกรดเซ็นเซอร์เป็น HyperX 4K และเปลี่ยนฝาด้านบนเป็นแบบทึบแทนแบบรูพรุนในรุ่นเดิม แต่น้ำหนักที่เบาทำให้เมาส์อยู่ในระดับเดียวกันกับเมาส์เกมมิ่งระดับโปร ที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวของเมาส์ทำได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหล
ต่อมาคือการเชื่อมต่อไร้สายที่ครอบคลุม นอกจากการเชื่อมต่อ 2.4GHz แล้ว รุ่นนี้ยังมี Bluetooth ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ Haste รุ่นแรกไม่มี จึงทำให้มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย โดยในโหมด 2.4GHz จะสูงสุดถึง 4,000Hz ที่ช่วยให้การเคลื่อนไหวของเคอร์เซอร์มีความแม่นยำและตอบสนองได้ฉับไว
หรือว่าถ้าจะใช้งานแบบสายก็ได้ โดยเสียบเข้ากับสาย USB-C ซึ่งคุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่และเล่นไปด้วยพร้อมๆ กันได้
สุดท้ายคือเรื่องของแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 90 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ถือว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับเมาส์เกมมิ่งไร้สายในระดับราคาเดียวกัน
นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับปุ่มปรับความเร็วในการติดตามเมาส์หรือ DPI ได้ถึง 4 ระดับ พร้อมไฟ RGB บนล้อเลื่อนที่จะเปลี่ยนสีเพื่อบ่งบอกระดับ DPI ที่กำลังใช้งานอยู่ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งความเร็วได้ตามความต้องการในแต่ละเกมหรือแต่ละสถานการณ์
HyperX NGENUITY ซอฟต์แวร์ช่วยปรับแต่งได้ตามใจชอบ
HyperX NGENUITY เป็นซอฟต์แวร์หลักสำหรับจัดการ HyperX Pulsefire Haste 2 Pro Wireless ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก Microsoft Store ซอฟต์แวร์ช่วยให้สามารถกำหนดการใช้งานในแง่มุมต่างๆ ได้ง่าย ปรับค่าความละเอียด DPI และตั้งค่าเอฟเฟกต์และเปลี่ยนแปลงสีไฟและเอฟเฟกต์ของโซน RGB บนล้อเลื่อน
การปรับค่า DPI สามารถเพิ่มค่า DPI ใหม่ได้ง่ายๆ เพียงคลิก + ด้านข้างของหน้าต่างแอป หรือจะเปลี่ยนค่าทั้ง 4 ค่าเริ่มต้นที่ได้สะดวก เพียงแต่เลื่อนแถบปรับค่าตามต้องการ นอกจากนี้ซอฟต์แวร์ยังมีระบบเตือนเมื่อมีการอัพเดตเฟิร์มแวร์ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเข้าเว็บไซต์ของ HyperX โดยตรง
ทดสอบลองใช้งาน
สำหรับการเล่นเกมแล้ว HyperX Pulsefire Haste 2 Pro ตอบสนองได้น่าพึงพอใจ ด้วยเซ็นเซอร์ที่สามารถติดตามการเคลื่อนไหวด้วยความละเอียดสูงสุด 26,000 DPI และ Polling Rate 1,000Hz จากที่ได้ลองเล่นเกมแนว FPS ที่เราเลือกปรับเปลี่ยนค่า DPI ใน 4 ระดับตั้งค่าที่ใช้งานพื้นฐาน ผลที่ได้คือ เล่นได้อย่างไม่มีปัญหาในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวแบบใด หรือปรับค่า DPI ไปที่ระดับใด เซ็นเซอร์ติดตามการเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำและลื่นไหล โดยไม่มีอาการ stuttering แต่อย่างใด
ผมค่อนข้างชอบการออกแบบที่สมมาตรที่จับถือได้กระชับถนัดทั้งคนที่ถนัดมือขวาและมือซ้าย การเคลื่อนไหวบนแถบรองได้อย่างลื่นไหลและการเพิ่ม PTFE รอบเซ็นเซอร์ช่วยลดแรงเสียดทานเมื่อเลื่อนไปโดยไม่ใช้แผ่นรอง ในส่วนของการกดปุ่มสามารถจะกดได้อย่างฉับไว จากความรู้สึกว่าจุดกดค่อนข้างตื้น แต่ก็กดได้อย่างแม่นยำ
ในส่วนของการทำงานแบตเตอรี่จากการทดสอบใช้งานมา 5-6 วันพบว่าไม่จำเป็นที่จะต้องทำการชาร์จเพิ่มแต่อย่างใด โดยใช้งานวันละ 8 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ และเปิดไฟ RGB ไว้ด้วย
สรุป รีวิว HyperX Pulsefire Haste 2 Pro 4K Wireless
โดยรวมแล้วสำหรับการใช้งานถือว่าตอบโจทย์การเป็นเมาส์สำหรับเล่นเกมที่ครบถ้วน ตั้งแต่น้ำหนักที่เบา จับได้ถนัดมือ ปรับค่า DPI ได้รวดเร็วผ่านปุ่มบนตัวเมาส์ได้เลย เลือกได้สูงสุดถึง 26,000DPI ช่วยให้ทุกการควบคุมปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมและแม่นยำ
การเชื่อมต่อทำได้ดีไม่มีหน่วงในโหมด 2.4GHz ส่วนการได้ Bluetooth ก็เสริมในส่วนความสะดวกในการเชื่อมต่อได้ง่ายขึ้น รวมถึงแบตเตอรี่ที่ชาร์จเต็มแล้วสามารถ
จุดสังเกตที่รู้สึกหลังจากลองใช้งาน อย่างแรกคือตัวไฟ RGB บนตัวเมาส์นั้นมีเพียงแค่รอบๆ ปุ่มล้อเลื่อนเท่านั้น ค่อนข้างเล็กและแทบไม่มีผลในด้านความสวยงามสักเท่าไหร่ และตัวปุ่มกดที่มีระยะกดค่อนข้างตื้น ก็อาจจะไม่ค่อยถนัดสำหรับเกมเมอร์บางคนที่ชอบแบบออกแรงกดหนักๆ
HyperX Pulsefire Haste 2 Pro 4K Wireless วางจำหน่ายแล้วในไทย ราคา 2,690 บาท ถือว่าอยู่ในระดับสูงพอสมควร แต่สำหรับแฟนๆ HyperX ที่ชอบสไตล์การออกแบบและประสิทธิภาพที่รับประกันนาน 2 ปี ถือว่าน่าสนใจสำหรับทั้งสายเล่นเกมที่ต้องการความแม่นยำ รวมถึงคนที่ต้องการเมาส์เบาๆ พกพาสะดวกไปใช้งานได้ทุกที่
สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ได้ ที่เว็บไซต์ของ HyperX
ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok