นิสสัน ฮอนด้า

ลือ! นิสสัน เตรียมถอนตัวควบรวมกิจการกับ ฮอนด้า

ดูเหมือนว่า ดีลยักษ์อย่างการควบรวมกิจการระหว่าง ฮอนด้า กับ นิสสัน จะไปไม่ถึงฝันเสียแล้ว หลังจากมีรายงานว่านิสสันเตรียมถอนตัวจากการเจรจา

เมื่อปลายปีที่แล้ว ถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวในวงการยนตกรรม ที่ 2 ผู้ผลิตยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง ฮอนด้า และ นิสสัน ประกาศที่จะศึกษาหาความเป็นไปได้ที่จะควบควมกิจการกัน เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ซึ่งหากการควบรวมสำเร็จจะก่อให้เกิดผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของโลก มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ว่าผ่านมาเพียงแค่เดือนกว่าๆ มีแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับการเจรจาเปิดเผยว่า ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งญี่ปุ่นเป็นอุปสรรคสำคัญ โดยประเด็นหลักมาจากการที่ฮอนด้า ต้องการให้นิสสันเข้ามาเป็นบริษัทในเครือ ซึ่งแตกต่างจากแผนการควบรวมแบบเท่าเทียมที่เคยหารือกันไว้ในตอนแรก

ฮอนด้าซึ่งมีมูลค่าตลาดประมาณ 7.92 ล้านล้านเยน (5.19 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) สูงกว่านิสสันที่มีมูลค่า 1.44 ล้านล้านเยนถึง 5 เท่า เริ่มกังวลเกี่ยวกับความคืบหน้าในแผนฟื้นฟูธุรกิจของนิสสัน ส่งผลให้ราคาหุ้นของฮอนด้าในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวปรับตัวลดลงกว่า 4% จนต้องระงับการซื้อขายชั่วคราว หลังจากหนังสือพิมพ์นิคเคอิรายงานว่าบริษัทจะถอนตัวจากการเจรจา ในขณะที่หุ้นนิสสันกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 8%

ทั้งนิสสันและฮอนด้าได้ออกแถลงการณ์แยกกันว่า รายงานของนิคเคอิไม่ได้มาจากข้อมูลที่เปิดเผยโดยบริษัท และทั้งสองฝ่ายยังคงมุ่งมั่นที่จะหาข้อสรุปเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ด้าน เรโนลต์ พันธมิตรระยะยาวของนิสสันซึ่งถือหุ้น 36% รวมถึง 18.7% ผ่านทรัสต์ในฝรั่งเศส ระบุว่าจะปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเต็มที่

การควบรวมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนิสสันที่กำลังอยู่ระหว่างแผนฟื้นฟูธุรกิจ โดยมีเป้าหมายที่จะลดพนักงาน 9,000 คนและลดกำลังการผลิตทั่วโลกลง 20% ทั้งนี้ มาโคโตะ อุชิดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนิสสัน และ โทชิฮิโระ มิเบะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฮอนด้า ได้จัดแถลงข่าวร่วมกันเกี่ยวกับการเจรจาควบรวมกิจการเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ปัจจุบัน ฮอนด้าเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่นรองจาก โตโยต้า และนิสสันอยู่ในอันดับ 3 การควบรวมครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนอย่าง BYD และคู่แข่งรายอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการรับมือกับความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์

ข้อมูลจาก Reuters

ติดตามข่าวสาร อัปเดตเทคโนโลยี รีวิวของใหม่ก่อนใคร ได้ทาง www.techoffside.com และ Google News
ช่องทางโซลเชียล Facebook, Instagram, YouTube และ TikTok

Online Content Manager with over 10 years of experience working in the news, technology, and telecom industries.